ทั้งๆ ที่ในพรรคประชาธิปัตย์รวมไว้ด้วยบุคคลคุณภาพ ไม่ว่า นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ไม่ว่า นายเทิดพงศ์ ไชยนันทน์ สมควรเข้าร่วมในคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาวิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
แล้วเหตุใดต้องชู นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ทั้งๆ ที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อยู่นอกสภา เพราะเพิ่งประกาศลาออกจาก ส.ส.เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ ตัดสินใจสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อเดือนมิถุนายน
นี่แหละคือความสงสัย
ไม่เพียงเป็นความสงสัยของสังคมในวงกว้าง หากแต่ยังเป็นความสงสัยเป็นอย่างสูงภายในพรรคพลังประชารัฐ
ถึงกับพาเหรดกันออกมา “ต้าน”
อาจเป็นเพราะเห็นว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ลาออกจาก ส.ส.เพราะไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี
คำถามจึงว่าทำไมต้อง “กลัว” ทำไมต้อง “สกัด”
มีเหตุผล 3 เหตุผลที่หากประมวลจากคำแถลงของพรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่าจะมาจาก นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ไม่ว่าจะมาจาก นายสมศักดิ์ เทพสุทิน
1 เป็นเพราะพรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำ มิใช่พรรคประชาธิปัตย์
1 เป็นเพราะ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นคนที่ไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และเหตุผลสำคัญเพราะ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยืนหยัดว่ารัฐธรรมนูญฉบับต้องแก้
ปล่อยให้ “ลอยนวล” ต่อไปไม่ได้
ทั้งหมดนี้นำไปสู่เหตุผล 1 ซึ่งสำคัญและมิได้มีการแถลงอย่างเป็นกิจจะลักษณะ นั่นก็คือ พรรคพลังประชารัฐต้องไม่ต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์ออกหน้า
นั่นก็คือ พรรคพลังประชารัฐกันท่าพรรคประชาธิปัตย์
นี่ย่อมเป็นปัญหาอันละเอียดอ่อนยิ่งในทางการเมือง เป็นปัญหาในเรื่องการนำ นั่นก็คือ พรรคพลังประชารัฐต้องการ “นำ” ในเรื่องของรัฐธรรมนูญ
คำถามก็คือ นำเพื่อ “แก้” หรือนำเพื่อ “สกัด” การแก้
มิได้เป็นเรื่องแปลกที่แต่ละพรรคการเมืองจะต้องแสดงอำนาจ แสดงพลานุภาพแห่งตน ในฐานะที่ตนเป็นแก่นเป็นแกน
นั่นก็คือ เป็นหัวหรือเป็นหาง
กระนั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็มิได้เป็น “ละอ่อน” เยาวเรศรุ่นเจริญศรีในทางการเมือง รู้อยู่เป็นอย่างดีว่าอะไรเป็นหลัก อะไรเป็นรอง
พรรคประชาธิปัตย์เล่นทั้งบท #อยู่เป็น
ขณะเดียวกัน เมื่อถึงสถานการณ์หนึ่ง สถานการณ์สำคัญ พรรคประชาธิปัตย์ก็พร้อมที่จะงัดกลยุทธ์ในแบบ #อยู่ไม่เป็น มาเป็นเครื่องมือต่อรอง
ยิ่งพรรคพลังประชารัฐยืนกราน
พรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องประเมินว่า สภาพการณ์ทางการเมืองอยู่ในจุดที่พรรคประชาธิปัตย์สมควรโอนอ่อนหรือสมควรแข็งขืน
นั่นก็ขึ้นกับ “กระแส” ในทางสังคมเห็นเช่นใด
การผลักดัน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยยึดกุมประเด็น “รัฐธรรมนูญ” มาเป็นหัวใจ มาเป็นอาวุธครั้งนี้มิได้เป็นเรื่องของอุบัติเหตุและความบังเอิญ
ชื่อของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีชั้นมีสถานะ
สถานการณ์ครั้งนี้ก็เหมือนกับเมื่อตอนที่พรรคประชาธิปัตย์ยกเอาชื่อ นายชวน หลีกภัย เข้ามาชิงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร
นี่คือการรุกในจังหวะอันดีของพรรคประชาธิปัตย์