ปรากฏการณ์ทางการเมือง ที่แสดงให้เห็นภาวะไม่เป็น ทีม ต่างคนต่างเดินของพรรคร่วมรัฐบาล
มากไปกว่านั้น หลายกรณียังสะท้อน ถึง ความขัดแย้ง ที่เริ่มเกิดขึ้นในหมู่พรรคร่วมรัฐบาล
การต่อรองของพรรคเล็กที่เรียกร้อง กล้วย อย่างไม่หยุดหย่อนอันนั้นทราบดีอยู่แล้ว
แต่สิ่งที่น่าโฟกัส คือ ท่าที ของพรรคขนาดกลางอย่าง พรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาธิปัตย์ มากกว่า
เพราะมีรูปธรรมที่ยืนยันถึงภาวะที่นอกจากต่างคนต่างเดินแล้ว
ยังมีการเดินชนกัน ขัดแข้งขัดขากัน ทั้งที่ไม่ตั้งใจ และตั้งใจ
กรณีตั้งกรรมาธิการวิสามัญศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั่นก็เรื่องหนึ่ง
ซึ่งว่าที่จริงทำให้ไม่เป็นเรื่องก็ได้
เพราะเพียงแค่ตั้ง กมธ. ศึกษา พรรคประชาธิปัตย์ก็น่าจะพอใจแล้ว
แต่ด้วยความต้องการที่จะช่วงชิงการนำ จึงนำมาสู่การที่คนในพรรคประชาธิปัตย์ เสนอตัวละครสำคัญคือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นมาเป็นประธาน กมธ.
ทำให้เรื่องง่ายกลายเป็นเรื่องยาก และเป็นประเด็นการเมือง
เพราะพรรคพลังประชารัฐในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาลคงอยู่เฉยไม่ได้
นอกจากไม่สุกงอมที่จะให้แตะต้องรัฐธรรมนูญแล้ว ยังจะปล่อยให้ประชาธิปัตย์มาช่วงชิงการนำไม่ได้
จึงนำไปสู่การ ปะทะ อย่างดุเดือดในฝ่ายรัฐบาลด้วยกันเอง
สะท้อนถึงภาวะที่ต่างฝ่ายต่างช่วงชิงต่อประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก
เยื่อใย แห่งความเป็นทีม บอบบาง ยิ่ง
คำถามก็คือแล้วจะเผชิญศึกใหญ่การเมืองได้อย่างไร เช่น ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะเกิดขึ้นปลายปีนี้ โดยสิ่งที่พรรคภูมิใจไทยแสดงออกก็คือ สัญญาณ นั้น
สัญญาณที่บ่งบอกว่า พรรคร่วม โดยเฉพาะพรรคที่เป็นแกนนำอย่างพรรคพลังประชารัฐไม่จริงใจ อาศัยกลไกทั้งภายในและภายนอกแทงข้างหลังพรรคร่วม
การที่กระทรวงคมนาคมตกเป็นเป้าหมายของ สื่อ บางสำนัก พรรคภูมิใจไทยปักใจเชื่อว่ามีเบื้องหลัง จากมือลึกลับ ในรัฐบาลปล่อยข้อมูลให้สื่อที่มีความเกี่ยวพันกับคนในพรรคร่วมรัฐบาล มาถล่มเพื่อปูพื้นไปสู่เวที ซักฟอก
โดยมุ่งหวังที่จะดึงเอากระทรวงเศรษฐกิจสำคัญ อย่างคมนาคมไปดูแลเอง
จึงนำไปสู่การแฉโพยของแกนนำพรรคภูมิใจไทย ทั้งการแถลงข่าวอย่าง ดับเครื่องชน การเปิดโปงในสภา กระทั่งการแจ้งความหมิ่นกับสื่อทั่วประเทศ
เปิดแนวรบทุกด้าน เหมือนดังทำกับศัตรูคู่แค้น มิใช่พรรคร่วม
นี่จึงมิใช่ พายุในถ้วยชา ที่ไร้พิษสง
หากแต่ความขัดแย้งอาจกระฉอกลวกปากจน วงน้ำชา แตกกระเจิงก็ได้
ซึ่งแน่นอน ย่อมจะสวนทางกับสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมปรารถนา
นั่นคือ ผมยังอยู่อีกนานพอสมควร
และพยายามยืนยันว่า นี่เป็นเพียง พายุในถ้วยชา
ยังไม่เห็นว่ามีเรื่องอะไร เพราะเห็นพรรคร่วมรัฐบาลก็มีการพูดคุยปรึกษากันดี ถ้าจะมีก็เป็นเรื่องของสื่อโซเชียลก็ว่ากันไป
ดูเหมือนจะไม่สนใจกับ ความขัดแย้ง ใดๆ
กระนั้นเสียงซุบซิบนินทาเรื่องการเปลี่ยนลายเซ็นเพื่อค้ำดวงของผู้นำ ก็บอกอะไรบางอย่าง
เช่นเดียวกับที่ มือการเมือง ของรัฐบาล นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ออกมาส่งสัญญาณว่า
“นายกรัฐมนตรีกำลังหาเวลาที่สะดวก เพื่อพบปะพูดคุยกับหัวหน้าและเลขาธิการพรรคร่วมรัฐบาล …นายกฯ อยากพบปะพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการบ้างกับพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค ครั้งต่อไปอาจจะมีโอกาสพบปะพูดคุยกับ ส.ส. พรรคร่วมรัฐบาล เพราะยังไม่มีการพบปะพูดคุยกัน…”
สะท้อนถึงการต้องช่วยกันประคองถ้วยชาให้นิ่ง ไร้คลื่น
ไม่ให้กระฉอกมาลวกปาก
แม้จะถ้วยเล็กแต่เจ็บนักแหละ!
สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร