เหมือนกับว่าบทบาทของ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ นายสิระ เจนจาคะ ในที่ประชุมคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร
จะเป็นบทบาท “ส่วนตัว” จะสะท้อนความไม่เห็นด้วยในทางส่วนตัว
ระหว่าง น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ นายสิระ เจนจาคะ ในฐานะเป็น กรรมาธิการ กับ ผู้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมาธิการ เป็นสำคัญ
หากดูรากฐานของทั้ง 2 ฝ่ายก็จะต้องยอมรับว่าปฏิกิริยาอันเกิดขึ้นมีที่มา มีที่ไป และที่สำคัญเป็นปฏิกิริยาในลักษณะที่สะท้อนการรุกและการโต้กลับ
โดยมีจุดรวมศูนย์อยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
หากไม่มีการรุกจากประธานคณะกรรมาธิการโดยมีเป้าอยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คงไม่เกิดปฏิกิริยามาจาก น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ นายสิระ เจนจาคะ
อย่าลืมเป็นอันขาดว่า น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ นายสิระ เจนจาคะ เข้าไปเป็นกรรมาธิการในฐานะตัวแทนพรรคพลังประชารัฐ
เป็นการเปลี่ยนตัวเข้าไปในสถานการณ์ไม่ปรกติทางการเมือง
เนื่องจากกรรมาธิการคนเดิมของพรรคพลังประชารัฐไม่สามารถต่อกรกับการรุกจากประธานคณะกรรมาธิการได้จึงจำเป็นต้องผลักดัน น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ นายสิระ เจนจาคะ เข้าไปปะทะ
นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมาที่ประชุมคณะกรรมาธิการจึงร้อนแรงโดยมี น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ นายสิระ เจนจาคะ เป็นตัวแสดงบทบาทสำคัญรวมถึงความพยายามในการเปลี่ยนตัวประธาน
นี่คือรูปธรรมแห่งสงคราม”ตัวแทน”ในทางการเมือง
ประเด็นอยู่ที่การเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการมิได้เป็นการเข้ามาเหมือนกับเป็นสมบัติส่วนตัว
หากแต่เข้ามาเพราะได้รับเลือกจาก”คณะกรรมาธิการ”
ตำแหน่งประธานอาจเป็นโควต้าของพรรคเสรีรวมไทย แต่รากฐานและการสนับสนุนมิได้มาจากพรรคฝ่ายค้านร่วมเท่านั้นหากแม้กระทั่งพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย ก็เห็นชอบด้วย
การดำรงอยู่ในฐานะประธานจึงเป็นการดำรงอยู่บนฐานของเสียงส่วนใหญ่ขณะที่เสียงของพรรคพลังประชารัฐเป็นเสียงส่วนน้อย
การโค่นล้ม”ประธาน”ออกจากตำแหน่งจึงยากลำบาก