ลุ้นอีก 26 พ.ย. ศาลฎีกาตัดสิน ‘เบญจา หลุยเจริญ’ ช่วยโอ๊ค-เอม เลี่ยงภาษีขายหุ้นชินฯ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเวลา 10.00 น. วันที่ 26 พฤศจิกายนี้ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้กำหนดนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ยื่นฟ้อง 1.นางเบญจา หลุยเจริญ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง สมัยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
2.น.ส.จำรัส แหยมสร้อยทอง อดีตผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย, 3.น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ อดีตผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย, 4.นายกริช วิปุลานุสาสน์ ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย กรมสรรพากร และ 5.น.ส.ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ คนใกล้ชิดเลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยานายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในความผิดร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมาตรา 83 ในการประเมินภาษีเอื้อประโยชน์ไม่ให้ นายพานทองแท้ ชินวัตร หรือ โอ๊ค น.ส.พินทองทา คุณากรวงศ์ หรือ เอม บุตรชาย และบุตรสาว นายทักษิณ ต้องเสียภาษีอากรหรือเสียภาษีน้อยกว่า จากกรณีซื้อหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด เมื่อปี 2549 โดยศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1-4 คนละ 3 ปี และจำคุกจำเลยที่ 5 เป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ซึ่งจำเลยได้ขอประกันตัว ในวงเงินคนละ 5 แสนบาท เพื่อสู้คดีในชั้นศาลฎีกา

สำหรับคดีดังกล่าวเริ่มจาก เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2558 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลอาญา แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบเองโดยไม่ผ่านอัยการสูงสุด กล่าวหานางเบญจา หลุยเจริญ กับพวก รวม 5 คน เป็นจำเลย ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ วินิจฉัยว่านายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา ชินวัตร ไม่ต้องเสียภาษีอากร กรณีซื้อหุ้นชินคอร์ปฯ เมื่อปี 2549 คนละ 164 ล้านหุ้น ในราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท ขณะที่ราคาหุ้นในตลาด ณ ขณะนั้นอยู่ที่ 49.25 บาท ทั้งๆ ที่ข้อเท็จจริง นายพานทองแท้และนางสาวพินทองทา ชินวัตร ถือเป็นผู้ได้รับเงินพึงประเมินตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่ต้องนำส่วนต่างของราคาหุ้นคนละ 7,941.95 ล้านบาท ซึ่งการกระทำดังกล่าว ทำให้กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง และราชการเสียหาย

ต่อมาวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 ศาลอาญานัดไต่สวนพยานครั้งแรก เห็นว่ามีมูลความผิดทางอาญา จึงมีคำสั่งให้ประทับคำฟ้องคดีกระทั่งวันที่ 28 กรกฎาคม 2559 ศาลอาญา นัดฟังคำพิพากษา คดีดำหมายเลข อท 43/2558 โดยตัดสินจำเลยที่ 1-4 มีความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ 83 ให้จำคุกคนละ 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา ส่วนจำเลยที่ 5 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ 86 มีโทษ 2 ใน 3 จึงสั่งให้จำคุก 2 ปี โดยไม่รอการลงอาญาเช่นกัน ทั้งนี้ จำเลยทั้ง 4 ได้นำหนังสือรับรองการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ที่ต้องหาคดีของกรมสรรพากรวงเงินไม่เกิน 420,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 5 ยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสด 300,000 บาท เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน เพื่อต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์

เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2560 ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ได้มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น เนื่องจากคำอุทธรณ์ของจำเลยทั้ง 5 ราย ทุกประเด็นฟังไม่ขึ้น ศาลจึงสั่งจำคุกนางเบญจาและพวกคนละ 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา ส่วนนางสาวปราณี ศาลสั่งจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา
ต่อมาวันที่ 20 ตุลาคม 2560 ศาลอุทธรณ์ได้อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยทั้ง 5 คน ตามคำสั่งของศาลฎีกา โดยตีราคาประกันคนละ 5 แสนบาท โดยกำหนดเงื่อนไขห้ามจำเลยทั้ง 5 คน เดินทางออกนอกราชอาณาจักร พร้อมทั้งให้จำเลยทั้ง 5 คน มอบหนังสือเดินทางต่อศาลชั้นต้น และให้ศาลแจ้งสํานักงานตรวจคนเข้าเมืองทราบ

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image