ไม่ว่า “ผล” แห่งการนำ “หมายค้น” เข้าไปรับใช้ “หมายจับ”
พระเทพญาณมหามุนี(ไชยบูลย์ สุทธิผล)จะลงเอยอย่างไร
“จับ” ได้ หรือว่า “ล้มเหลว”
หากเห็นว่าปฏิบัติการตามแผน”กรกฎ”ในวันที่ 16 มิถุนายน
“ล้มเหลว”
จะปฏิบัติการอีกในวันที่ 13 กรกฎาคม
แม้เครื่องมือของกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)จะคือ ความผิดโทษฐานฟอกเงิน และรับของโจร
แต่ข้ออ้าง “คณะศิษยานุศิษย์”ก็ยังเหมือนเดิม
1 ปฏิบัตการของกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรม
1 รอให้เป็น”ประชาธิปไตย”ก่อนค่อยดำเนินการ
เพราะว่าคดีว่าด้วยการฟอกเงิน หรือการรับของโจร มีอายุความยาวนานถึง 15 ปี
ภายใน 15 ปี ประเทศก็คงจะเป็น “ประชาธิปไตย”
พลันที่คำว่า “ประชาธิปไตย” ได้รับการหยิบยกขึ้นมาเป็นข้ออ้างและเป็นเหตุผล
คำว่า “การเมือง” ก็อร้าอร่ามขึ้น
เมื่อเป็นการเมืองอันสัมพันธ์กับ “ประชาธิปไตย” ย่อมจะสัม พันธ์กับ “ประชามติ”
เพราะอยู่ในบรรยากาศแห่ง “ประชามติ”
เป็นไปได้หรือไม่ที่กรณีของวัดพระธรรมกายจะส่งผลสะเทือนไปยังกรณีของประชามติในวันที่ 7 สิงหาคม
เพราะ “ประชามติ” เป็นเรื่อง”ร่างรัฐธรรมนูญ”
เพราะ “ร่างรัฐธรรมนูญ” เป็นเรื่องของ “ประชาธิปไตย”
ประเด็นอยู่ที่ว่า “คณะศิษยานุศิษย์” คิดอย่างไรในเรื่องของ “ร่างรัฐธรรมนูญ” ในเรื่องของ “ประชาธิปไตย”
และคิดอย่างไรต่อ “คสช.”
ไม่มีใครรู้ว่า “เครือข่าย” ที่เชื่อมั่นและศรัทธาต่อสำนักวัดพระธรรมกายมีจำนวนมากน้อยเพียงใด
ที่แน่ๆก็คือ “ไม่น้อย”
ที่แน่ๆก็คือ เห็นกัลยาณมิตรในชุดขาวประจำอยู่ ณ วัดพระธรรมกายแต่ละวันไม่ต่ำกว่า “เรือนหมื่น”
บางคนยืนยันว่าทั่วประเทศมีไม่ต่ำกว่า “5 ล้าน”
จำนวน 5 ล้านหากเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งก็สามารถกำหนดชะตาทางการเมืองของคนใดคนหนึ่งได้
เช่นเดียวกับในกระบวนการ “ประชามติ”
ปฏิบัติการของกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ต่อ พระเทพญาณมหามุนี(ไชยบูลย์ สุทธิผล) จึงมีผลสะเทือน
ต่อ “คสช.” ผลสะเทือนต่อ “รัฐบาล” แน่นอน ย่อมมีผลสะเทือนต่อ “ประชามติ” และมีผลสะเทือน ต่อ “ร่างรัฐธรรมนูญ”
จะมากหรือน้อย จะได้เห็นกันวันที่ 7 สิงหาคม