ไม่ว่าเรื่องอันเกิดขึ้นในที่ประชุมคณะกรรมาธิการ ป.ป.ช. ไม่ว่าเรื่องอันเกิดขึ้นในการลงมติญัตติด่วนจัดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญทบทวนผลประกาศและคำสั่งคสช.
รากฐานแห่ง “ปัญหา” รากฐานแห่งภาวะ “ป่วน” ในทางการเมืองมาจากจุดเดียวกัน
นั่นคือ ปกป้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เพราะว่าความหงุดหงิดก็คือ คณะกรรมาธิการ ป.ป.ช.ต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปปรากฏตัวเพื่อสอบถามในหลายประเด็นที่ข้องใจ
เพราะว่าความหงุดหงิดก็คือ หากคณะกรรมาธิการวิสามัญเกิดขึ้นในทางเป็นจริง
ปลายหอกก็จะพุ่งเข้าใส่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ไม่ว่าบทบาทของ นายวิรัช รัตนเศรษฐ ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรบ. (วิปรบ.) ไม่ว่าบทบาทของ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ นายสิระ เจนจาคะ
ถนนทุกสายล้วนมุ่งไปยังความพยายามที่จะปกป้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
จึงต้องทำทุกอย่างมิให้งานของคณะกรรมาธิการป.ป.ช.เดินไปข้างหน้า จึงต้องทำทุกอย่างมิให้ประธานคณะกรรมาธิการเป็นของหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย
เช่นเดียวกับความพยายามในการที่จะล้ม “มติ” แม้ว่าจะมีการลงมติไปแล้วเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน แม้จะต้องประสบกับสถานการณ์สภาล่มครั้งแล้วครั้งเล่าก็ตาม
เพราะเดิมพันครั้งนี้ใหญ่หลวง เพราะเป้าหมายแท้จริงก็คือ การทำทุกอย่างไม่ให้มีการตรวจสอบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ปฏิบัติการของพรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่าในกรณีตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการป.ป.ช. ไม่ว่าในกรณีสกัดขัดขวางญัตติด่วนจัดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญทบทวนประกาศ คำสั่งคสช.
จึงต้องทุ่มสรรพกำลังทุกอย่างในทางการเมือง เล่นเกมกันอย่างโลดโผนโจนทะยาน
คำถามอยู่ที่ว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะรู้สึกอย่างไร
ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าพรรคภูมิใจไทย ไม่ว่าพรรคชาติไทยพัฒนา ล้วนต้องรับผิดชอบ
คำถามอยู่ที่ว่ายังยินดี “ล่มหัวจมท้าย” ต่อไปอีกหรือไม่