เมื่อเวลา 21.10 น.วันที่ 3 ธันวาคม ที่สโมสรราชพฤกษ์ หลังงานเลี้ยงพรรคร่วมรัฐบาลได้เลิกลง โดยมีการส่งเสียงไชโย 3 ครั้ง พร้อมเสียงปรบมือ จากนั้นที่ประชุมได้อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้ามาบันทึกภาพ โดยนายกรัฐมนตรี พร้อมพล.อ.อนุพงษ์ พล.อ.ประวิตร และแกนนำทั้งหมดได้ลงมาพร้อมกัน โดยทั้งหมดต่างหัวเราะสรวลเสเฮฮาอยู่ตลอดเวลา ขณะที่พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า อาหารอร่อยดี ตนมาทานข้าวกับทุกคน ตนมาเยี่ยมเยียนเขาหน่อย ส่วนเสียงไชโย 3 ครั้ง ไม่ใช่ไชโยในเรื่องอะไร เพียงแต่เราได้หารือกันว่า จะทำอย่างไรให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้ ทั้งหมดไชโยเพื่อประเทศไทย ตนคิดว่าจากพรุ่งนี้ไป ทุกอย่างจะราบรื่น แต่เราไปบังคับใครไม่ได้อยู่แล้ว ดังนั้นทุกคนจึงต้องมองว่าประเทศชาติจะเดินหน้าไปได้อย่างไร วันนี้ทุกคนจึงได้มาคุยกัน
“บางครั้งตนอาจจะพูดและพบกับเขาน้อยไปหน่อย ทำให้ไม่รู้ว่าตัวตนนายกฯเป็นอย่างไร วันนี้ทุกคนและหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคก็ได้มีการพูดคุยกัน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อนายกฯพูดถึงตรงนี้ได้ถามหาหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ว่าอยู่ไหน แต่ได้รับการชี้แจงว่านายจุรินทร์ ได้นั่งรถกลับไปแล้ว เหลือเพียงนายเฉลิมชัยศรีอ่อน เลขาธิการพรรคปชป.
จากนั้นนายเฉลิมชัย ได้เดินมาหาก่อนที่พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เมื่อกี้ได้มีการพูดคุยกับนายจุรินทร์ไปเรียบร้อยแล้ว จากนั้นพล.อ.ประยุทธ์ ได้เรียกถามหาบรรดาแกนนำพรรคเล็กอยู่ไหน “เต้อยู่ไหน” ทำให้นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ รีบออกมาหา พล.อ.ประยุทธ์ ทันที ก่อนนายกฯบอกว่า ตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นไป นายมงคลกิตติ์ จะประพฤติตัวใหม่ จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้ทำมือเอาริ้วแตะไปที่ปากว่าจะพูดน้อยลง ก่อนที่นายกฯได้ล็อกคอนายมงคลกิตติ์อย่างมันเขี้ยว พร้อมกล่าวว่า “นี่คือคนรุ่นใหม่” นายมงคลกิตติ์ถึงกลับยกมือไหว้
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า นี่คือความเป็นหนึ่งเดียวของรัฐบาล ความเป็นหนึ่งเดียวของครม. ก่อนจะเชิญพล.อ.ประวิตร และพล.อ.อนุพงษ์มายืนข้างๆ พร้อมกล่าวว่านี่คือ “สาม ป.มีปัญหาอะไรหรือเปล่า ไม่มีสามป.เราจะทำอะไรได้ สองคนนี้คือลูกพี่ฉันสอนฉันให้เป็นคนดี สอนฉันให้ทำหน้าที่เพื่อชาติบ้านเมือง จะทำหน้าที่เพื่อบ้านเมือง ถ้าไม่มีที่ทั้งสองคนพี่ป๊อก และพี่ป้อม ฉันก็มีวันนี้ไม่ได้ ทุกอย่างไม่มีเพื่อตัวฉัน แต่เพื่อประเทศไทยเข้าใจหรือยัง ทุกภาคไม่ว่าจะเป็นพรรคเล็กพรรคน้อยทั้งหมดจะเดินหน้าเพื่อประเทศไทย”
