เหมือนกับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 4 ธันวาคมจะเป็นชัยชนะ เป็นความสำเร็จของรัฐบาล เป็นชัยชนะของพรรคร่วมรัฐบาลที่สามารถยับยั้งญัตติด่วนของฝ่ายค้านลงได้
แต่ชัยชนะครั้งนี้ก็เป็นชัยชนะที่ไม่คึกคัก หนักแน่นอย่างที่ปรากฏผ่านเสียงไชโยโห่ร้อง 3 ราในงาน MEETING ณ สโมสรราชพฤกษ์
เพราะไม่เพียงแต่พรรคร่วมรัฐบาลสนับสนุนให้ว่าที่”อดีต”ส.ส.คนหนึ่งแห่งพรรคพลังประชารัฐซึ่งศาลฎีกาฯออกหมายจับมาอยู่ในที่ประชุมอันกำลังเป็นข้อกังขาในเรื่อง”สองมาตรฐาน”ทางกฎหมาย
หากแต่ปรากฏการณ์ 10 งูเห่าจาก พรรคเพื่อไทย พรรคอนาคต ใหม่ พรรคเศรษฐกิจใหม่ พรรคประชาชาติ ยังเป็นรอยด่างเป็นมลทินที่ยากจะชำระล้างได้อย่างง่ายดาย
ที่สำคัญคือแปดเปื้อนไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ความจริง หากถือตามบรรทัดฐาน 251 เสียงที่ขานชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีในที่ประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน รัฐบาลสามารถเปิดประชุมสภาได้อย่างองอาจสง่างาม
แทบไม่จำเป็นต้องใช้บริการจากบรรดางูเห่าที่เลื้อยอยู่ตามพรรคฝ่ายค้านมากถึง 10 คนอย่างนี้
แต่เนื่องจากประเมินว่าญัตติด่วนจัดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ ศึกษา ทบทวนผลประกาศและคำสั่งคสช.และคำสั่งหัวหน้าคสช.ตาม มาตรา 44 นี้เป็นอันตรายร้ายแรง
เพราะกระทบโดยตรงไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตหัวหน้าคสช.ซึ่งผันตนเองมาเป็นนายกรัฐมนตรี จึงจำเป็นต้องใช้กำลังพลเท่าที่มีอยู่ในมือมาใช้เป็นอาวุธ
ผลจึงนำไปสู่การล่อ”งูเห่า”ให้ออกมาปรากฏ ผลจึงเท่ากับเป็นการเผยกำลัง”เร้นลับ”อย่างล่อนจ้อน เปล่าเปลือย
ไม่ว่าจะมองผ่านกระบวนการทาง”การทหาร” ไม่ว่าจะมองผ่านกระบวนการทาง “การเมือง”
เด่นชัดว่าอะไรคือ จุดอ่อนในทางการเมืองของรัฐบาล
เด่นชัดว่าตัวตนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่นเองที่เมื่อแตะ เข้าไปภายในของรัฐบาลจะเกิดการเคลื่อนไหวในเชิงปกป้องอย่างรวดเร็วและด้วยมาตรการอันรุนแรงตามมา
เมื่อรัฐบาลเผย “จุดอ่อน”และระบุ “กล่องดวงใจ”ของตนออกมาถึงระดับนี้จึงไม่ยากที่อีกฝ่ายจะต้องตามราวี
ถนนทุกสายย่อมมุ่งเข้าสู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แน่นอน