‘จตุพร’ จี้ฝ่ายค้านลงดาบงูเห่าทันที อย่าไปกลัวเสียจำนวน ส.ส. ไม่ทำอะไรยิ่งค้างคา

“จตุพร” ชี้การมีงูเห่ามากคืออัตราเร่งความเสื่อม จี้ฝ่ายค้านลงดาบทันที ไม่ต้องกลัวเสียจำนวน ส.ส. หวัง “วรชัย-สำเริง” ได้รับอิสรภาพโดยเร็ว

เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ที่ร้านกาแฟ พีซคอฟฟี่แอนด์ ไลบรารี่ อิมพีเรียล ลาดพร้าว ชั้น 5 มีการจัดรายการลมหายใจ พีซทีวี เวทีทัศน์ ที่ออกอากาศผ่านทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมพีซทีวี โดยมีแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) มาพบปะพูดคุยกันเป็นประจำทุกสัปดาห์

โดยนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. กล่าวว่า วันนี้ตนสนทนาในหัวข้อสั้นๆ คือ หัวข้อคำว่าเสื่อม เนื่องจากบทเรียนทางการเมืองของประเทศไทยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีประวัติศาสตร์แต่ละตอนเริ่มต้นอย่างไรและจบอย่างไรนั้น ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ทั้งสิ้น ความเข้าใจทางการเมืองระหว่างผู้มีอำนาจ ฝ่ายค้าน และประชาชน เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ต่อสู้กันนั้น บางครั้งลืมคิดไปว่าการจะอยู่หรือไปของรัฐบาลในประเทศไทยนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนเสียง ซึ่งหลายคนอาจคิดว่าหากฝ่ายรัฐบาลได้ผู้แทนประเภทงูเห่าเป็นจำนวนมากขึ้นรวบรวมได้ถึงขนาดจะเป็นสถานที่เสาวภาแล้วรัฐบาลจะยืนยาวนั้นเป็นความคิดที่ผิด เพราะยิ่งไปกระทำการอย่างนั้นจะยิ่งเสื่อมสลายและมีอันเป็นไปอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นการที่รัฐบาลจะอยู่หรือไปนั้นมันอยู่ที่ความถูกต้องและความเป็นธรรม ไม่ทุจริตคอร์รัปชั่น รวมถึงไปกระทำการใดๆ ที่ประชาชนไม่อาจรับได้เหล่านี้คือสภาพการณ์ของรัฐบาลปกติ แต่ในปัจจุบันประชาชนแบกรับด้วยเรื่องปัญหาทางเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้ก็ไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้น มีแต่จะเสื่อมลงไปทุกขณะ อีกทั้งมีผู้รู้ทางเศรษฐศาสตร์หลายคนและอีกหลายภาคส่วนต่างคิดตรงกันว่าหากสภาพเศรษฐกิจยังไม่ดีขึ้นนั้น กลางปี 2563 นี้รัฐบาลอย่างไรก็อยู่ไม่ได้ แม้จะมีงูเห่าเต็มสภา แต่การมีงูเห่ามากอัตราเร่งความเสื่อมก็จะเร็วมากขึ้น

ขณะเดียวกัน การแก้ปัญหาของรัฐบาลนี้ก็มีแต่เรื่องเฉพาะหน้า เช่นเรื่องคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาผลกระทบจากมาตรา 44 แม้ว่าตั้งกรรมาธิการชุดนี้ไม่ได้ในช่วงสุดท้ายที่มีถกกันเรื่องการนับคะแนนใหม่ ดังนั้นเมื่อมีมาตรการงูเห่าก็ไม่สามารถตั้งคณะกรรมาธิการชุดดังกล่าวได้ แต่คำถามคือมันจะจบหรือไม่ ซึ่งส่วนตัวมองว่าไม่จบ เพระมี กมธ.สามัญ 35 คณะของสภาผู้แทนราษฎรนั้นก็มี และเมื่อไม่จบในห้องประชุมใหญ่ ก็เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมาธิการสามัญเหล่านี้ และสุดท้ายก็จะมีบรรยากาศเหมือนกับคณะกรรมาธิการชุดป้องกันและปราบปรามประพฤติมิชอบที่มี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์  เตมียเวส เป็นประธาน ดังนั้นมองว่าปัญหาไม่มีทางจบ แต่สิ่งหนึ่งในการแก้ไขปัญหาทางการเมืองนั้น ที่สำคัญที่สุดคือ การไม่ก่อวิกฤตศรัทธา แต่อย่างไรก็ตามปัจจุบันนี้โลกโซเชียลไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็เชื่อมโยงกันถึง ไม่ว่าใครจะทำอะไรที่ไหน โซเชียลก็ตามถึงกันหมด ซึ่งต่างจากสมัยก่อน แต่ความเสื่อมนั้นไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นตนอยากให้เสียงนี้ได้ยินถึงทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านโดยเฉพาะในฝ่ายค้านจะต้องไม่ลังเลหากมีงูเห่า ไม่ต้องกลัวว่าจะเสียจำนวนผู้แทนราษฎรไป ให้ลงดาบทันที พรรคต้องกล้าที่จะจัดการกับผู้แทนราษฎรเหล่านั้นแต่หากค้างคาอยู่แบบนี้ก็จะค้างคากันอยู่แบบนี้

Advertisement

นายจตุพรกล่าวอีกว่า ส่วนฝ่ายรัฐบาลจะต้องคิดว่ารัฐบาลที่พังในอดีตทั้งหลายในช่วงประวัติศาสตร์ทางการเมืองที่ผ่านมา พังในขณะที่มีเสียงข้างมากทั้งสิ้น ดังนั้นไม่ได้บอกว่าอยู่ได้เพราะมีเสียงมากกว่าฝ่ายค้านเพราะทุกรัฐบาลมีเสียงมากกว่าฝ่ายค้านทั้งสิ้น หากคิดว่าได้ ส.ส.มามากแล้วจะอยู่ได้ ไม่จำกัดวิธีการ แต่สุดท้ายประวัติศาสตร์ก็ประกาศชัดเจนว่า รัฐบาลก็ยังอยู่ไม่ได้ ดังนั้นจึงเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าแต่เป็นการสร้างปัญหาระยะยาวเพราะไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ ก็จะเสียในทางการเมือง เสียความชอบธรรม และก็เสื่อมลงในที่สุด และสุดท้ายความเสื่อมก็จะลุกลามไปที่ประชาชน จนในที่สุดก็เกิดวิกฤตศรัทธาของประชาชน อีกทั้งการเดินเข้าไปในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ ก็เหมือนกองทัพของฮิตเลอร์บุกรัสเซียในฤดูหนาว ที่อย่างไรเสียก็พากันไปตายบนกองหิมะ เช่นเดียวกับภาวะของรัฐบาลปัจจุบัน หากยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ แม้จะมีนโยบายแต่ละอย่างที่ประกาศไว้ในช่วงหาเสียง เช่นเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ สุดท้ายก็ทำไม่ได้ ขึ้น 6 บาทในเขตกรุงเทพฯและจังหวัดใหญ่ 5 บาทอีกกว่า 40 จังหวัด แต่ราคาสินค้านั้นขึ้นรอไว้แล้ว ดังนั้น เพื่อบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น เอาประเทศเป็นที่ตั้งว่า 6 เดือนยังไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ ก็ควรแสดงความรับผิดชอบ ตัดสินใจลาออก หรือยุบสภาคืนอำนาจให้กับประชาชน เพราะสิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นในขณะนี้คือความเดือดร้อนยังคงอยู่ บรรดานักการเมืองทั้ง 2 ซีก อยากเล่นเกมให้เกิดความเสื่อมมากไปกว่านี้

นายจตุพรกล่าวด้วยว่า ตนติดตามสถานการณ์ทางการเมืองอย่างใกล้ชิด รู้สถานการณ์ รู้ตัวเอง และรู้วิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมือง ที่ผ่านมาตนมีข้อผิดพลาดน้อยมากเพราะไม่เคยวิเคราะห์สถานการณ์ที่เข้าข้างหรือเอาใจใคร ในแวดวงทางการเมืองนั้นลองไปดูข่าวย้อนหลังว่าตนทายอะไรผิดบ้าง เพราะตนไม่เคยเอาความรู้สึกส่วนตัวหรือมีผลประโยชน์กับความรู้สึกนั้นไปวิเคราะห์ แต่ต้องมองปรากฏการณ์อย่างเป็นจริงให้มากที่สุดว่าอย่างไรก็ตามกาลเวลาว่าด้วยเรื่องความเสื่อมทางเศรษฐกิจนั้นจะเป็นตัวกำหนดอนาคตรัฐบาล เพราะหากแย่กว่านี้เต็มที่ 6 เดือนหากอยู่ได้ก็เก่งแล้ว อีกทั้งหากมองทีมเศรษฐกิจหลายคนที่มีความเชี่ยวชาญแต่ก็ยังไม่สามารถดำเนินการแก้ไขได้ ดังนั้นตนพยายามส่งสัญญาณว่าให้แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนเพราะเป็นเรื่องที่เกินจะรับไหวของประชาชน

นายจตุพรกล่าวด้วยว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้วตนได้ไปส่งเพื่อน 2 คน คือ นายวรชัย เหมะ และนายสำเริง ประจำเรือ เข้าเรือนจำพัทยาและหลังจากนี้ก็มีอีกหลายคนที่ต้องเดินเข้าไป ซึ่งเป็นชะตากรรมที่พวกเราจะต้องเจอ เนื่องจากตนเข้าใจความรู้สึกเป็นอย่างดีเพราะเข้าออกคุกมาหลายครั้ง ดังนั้นหากใครว่างก็ไปเยี่ยมกันได้ ยิ่งฤดูหนาวอยู่ในเรือนจำก็ยิ่งทรมาน ดังนั้นก็ได้แต่หวังว่าจะได้รับอิสรภาพโดยเร็ว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image