แม้ไม่ว่า นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ จะแสดงกัปปิยโวหารในเชิงสันถวมิตรอันสนิทสนมยิ่งกับ 4 งูเห่าจากพรรคเศรษฐกิจใหม่ แม้ไม่ว่า นายสุชาติ เฮ้งสวัสดิ์ จะออกมายืนยันในเรื่องการต่อสายทางการเมือง
กระนั้น เส้นทางการเข้าร่วมรัฐบาลของ 4 งูเห่าจากพรรคเศรษฐกิจใหม่ก็ใช่ว่าจะราบรื่นเหมือนยืนอยู่บนเนินเขา
ขอให้ลองฟัง นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์
“ขอย้ำว่าไม่ได้มีการเสนออะไรเป็นการแลกเปลี่ยนถึงขั้นเสนอตำแหน่งต่างๆให้อีก ทั้งผมไม่ได้รับมอบหมายเป็นผู้เจรจา และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังไม่ได้มอบหมายใครเข้ามาดูแล”
ประโยคเหล่านี้เท่ากับ “ปิดประตู” ปรับครม.โดยสิ้นเชิง
ภาระหน้าที่ของ 10 งูเห่าเสมอเป็นเพียง 1 เติมตัวเลขให้กับองค์ประชุม 1 โหวตไปในทิศทางเดียวกันกับรัฐบาล
แค่นั้นไม่ได้ไปไกลถึงขั้น “ปรับครม.”
ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่ามาจากเหตุปัจจัยที่ 4 งูเห่ากับอีก 2 คนที่เหลืออยู่ โดยเฉพาะ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ มีความเห็นแตกต่างกันและยังคงอยู่กับ 6 พรรคฝ่ายค้านร่วม
หากแต่น่าจะอยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นหลัก
อย่าลืมการเปิดตัว “3 ป.” ในราตรีแห่ง “หูฉลาม” เป็นอันขาด
ปัจจัยอันเป็นอุปสรรคอย่างสำคัญก็คือ หากเมื่อใดที่มีการปรับครม.ตามบทบัญญัติมาตรา 161 ของรัฐธรรมนูญ เมื่อนั้นก็ต้องมีการถวายสัตย์ปฏิญญาณตน
พลันที่มีการเปล่งคำ “ถวายสัตย์” สถานการณ์เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ก็จะหวนกลับมาเป็นข้อเปรียบเทียบโดยอัตโนมัติว่าเนื้อความจะออกมาอย่างไร
ตรงนี้ย่อมละเอียดอ่อนยิ่งสำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
แม้ว่าท่าทีของ 10 งูเห่าไม่ว่าจะมาจากพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะมาจากพรรคอนาคตใหม่ ไม่ว่าจะมาจากพรรคเศรษฐกิจใหม่ ไม่ว่าจะมาจากพรรคประชาชาติ
จะดำเนินไปเหมือนกับเป็น “ใบเสร็จ” ยืนยันว่ามีผลประโยชน์ต่างตอบแทนอย่างเด่นชัด
แต่ก็เหมือนกับที่ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ออกมา “เบรก”
ทุกอย่างเสมอเป็นเพียงการเติม “ตัวเลข” ยังไม่มีการหยิบยื่นตำแหน่งใดในทางการเมืองเหมือนกับเป็นอามิสบรรณาการ
ยังไปไม่ถึงขั้นต้องมีการ “ถวายสัตย์” ปฏิญาณตน