เมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 11 ธันวาคม ที่ห้องแกรนด์ บอลรูม 1 โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ กระทรวงการจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน มอบหมายให้สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย และสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน จัดสัมมนาพิเศษ ‘มติคณะกรรมการกลางเต็มคณะชุดที่ 19 ครั้งที่ 4’
ฯพณฯ หลู่ย์ เจี้ยน เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้เรามีความท้าทาย จากการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยมีมาเป็นร้อยปี ลัทธิกัดกันทางการค้ามีแนวโน้มมากขึ้น ไทยและจีนควรร่วมกันรับมือความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น คว้าโอกาสที่จะเป็นประโยชน์ต่อทั้ง 2 ประเทศ ส่งเสริม แลกเปลี่ยน และพัฒนาให้ก้าวหน้าขึ้นอีกระดับหนึ่งเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น
รศ. ดร.โภคิน พลกุล นายกสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน กล่าวว่า นับแต่มีการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อ พ.ศ. 2492 จีนฝ่าฟันอุปสรรคขวากหนามอย่างโชกโชน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ต้องเผชิญระเบียบโลกที่กำหนดโดยสหรัฐอเมริกา จีนมีภารกิจที่ต้องพิสูจน์ว่าตนเองสามารถสร้างความเข้มแข็ง กินดีอยู่ดี กระทั่งประชากรที่ยากจนกว่า 800 ล้านคนลดลงเหลือเพียง 50 กว่าล้านคน ทั้งยังตั้งเป้าว่าใน พ.ศ.2563 จะไม่มีคนจน โดยประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ระบุด้วยว่า ตั้งแต่ปีหน้า จนถึงกลางศตวรรษที่ 21 คือ ค.ศ.2050 จีนจะเป็นสังคมนิยมทันสมัยที่ยิ่งใหญ่ โดยไม่ใช่การเอาอย่างตะวันตกเพื่อให้โลกอยู่ข้างใต้ตน แต่จีนต้องการอยู่ร่วมอย่างสันติ ใช้ความร่วมมือ มีผลประโยชน์ร่วมกันเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
จากนั้น เป็นการกล่าวบรรยายสรุปการประชุมเต็มคณะครั้งที่ 4 ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ชุดที่ 19 โดย ฯพณฯ จ้าง อันมิน เลขาธิการกระทรวงการจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน
ฯพณฯ จ้าง อันมิน กล่าวว่า ไทยและจีนเป็นเพื่อนบ้านที่ผูกพันลึกซึ้ง เสมือนพี่น้องกัน ปีนี้มีความหมายพิเศษเพราะเป็นปีแห่งการเฉลิมฉลองครบรอบ 70 ปีการสถาปนาสาธารณรัฐประขาชนจีน ซึ่ง 70 ปีที่ผ่านมาคนจีนสามัคคี ยืนหยัดด้วยลำแข้ง มีจีดีพีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อายุเฉลี่ยจาก 35 พุ่งขึ้นเป็น 77 ปี ประชาชนหลุดพ้นความยากจน โดยมีการตั้งเป้าให้คนทั้งประเทศพ้นจากการเป็นคนยากจนใน พ.ศ.2563 มีการแก้จนอย่างตรงจุด เคล็ดลับคือการยืนหยัดบนสังคมนิยมแบบจีน ซึ่งสามารถใช้จุดแข็ง ระบบการบริหารที่ได้เปรียบ สร้างการปฏิรูป เปิดประเทศ นำนโยบายสู่การปฏิบัติ ให้ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ โดยใน ‘สภาที่ปรึกษาการเมือง’ มีคนจากทุกสาขาอาชีพ แม้กระทั่งคนขับรถเมล์ และคนขับแท็กซี่
“เราจัดตั้งศูนย์ประสานงานระหว่างประชาชนกับผู้แทน รับฟังประชาชนอย่างใกล้ชิด จีนเป็นประเทศที่เหมือนการเล่นหมากรุกหนึ่งกระดาน ตอนต้นยากไร้ แต่สามารถพัฒนาจากประเทศเกษตรกรรมสู่อุตสาหกรรม มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย เช่น รถไฟความเร็วสูง , สะพานเชื่อมฮ่องกง จูไห่ มาเก๊า , 5 จี รวมถึงวิทยาศาสตร์ในทะเลลึก ซึ่งสะท้อนว่าเราสามรรถรวมพลังพัฒนาโครงการใหญ่ได้ ทางพรรคยืนหยัดปรับปรุง พัฒนาประชาธิปไตย มีการปฏิบัติต่อชนกลุ่มน้อยโดยให้สิทธิต่างๆ ให้เมืองชายฝั่งที่เข้มแข็งช่วยเหลือภาคตะวันตกซึ่งเสริมสร้างความคิดเรื่องความเป็นปึกแผ่นของจีน” ฯพณฯ จ้าง อันมิน
ฯพณฯ จ้าง อันมิน กล่าวอีกว่า ใน ค.ศ. 2035 หรือ พ.ศ.2578 เราต้องมีความสมบูรณ์ ทันสมัย ทำให้ ‘สังคมนิยมแบบจีน’ เป็นประโยชน์สูงสุด ต้องยืนหยัดในระบบพรรคคอมมิวนิสต์ โดยปรับปรุงให้มีความทันสมัย ยกขีดความสามารถตามกฎหมาย ยึดระบบนิติรัฐ สร้างระบบบ้านเมืองที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบชัดเจน ให้ระบบตลาดมีบทบาทในการจัดสรรทรัพยากร ส่งเสริมความเข้มแข็งในระบบความคิดร่วมกัน มีหลักประกันทั้งในเมืองและชนบทให้มีคุณภาพสูง รักษาความมั่นคงของชาติ อยู่อย่างปรองดอง ปรับปรุงระบบพรรคคอมมิวนิสต์ที่มีต่อกองทัพประชาชนให้ทันสมัย สร้างความจงรักภักดี ยืนหยัด 1 ประเทศ 2 ระบบ ดำเนินตามรัฐธรรม เสริมสร้างความร่วมมือ 2 ฟากฝั่ง สร้างหลักประกันความผาสุกของพี่น้องชาวไต้หวัน ผลักดันการรวมชาติ
“เราสร้างกลไกที่ทำให้คนไม่กล้าทุจริตและไม่อยากทุจริต รวมถึงกลไกกำกับ ตรวจสอบการใช้อำนาจ ใช้หลักคิดแบบใหม่ สร้างระบบใหม่ให้เศรษฐกิจเปิดกว้าง กระตุ้นศักยภาพตลาดขนาดใหญ่ อย่างกรณีประเทศไทย จากการจัดงานเอ็กซโป เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา มีการแสดงเจตจำนงซื้อขายเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 23 เทศกาลช้อปปิ้งออนไลน์ก็มียอดเพิ่ม เราลดต้นทุนภาษีและค่าธรรมเนียมเพื่อนำเข้าสินค้าและบริการที่มีคุณภาพจากประเทศต่างๆ จีนซื้อข้าวไทย ทุเรียนไทย นักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทย” ฯพณฯ จ้าง อันมิน กล่าว และว่า การประชุมเต็มคณะครั้งที่ 4 นี้ยังชี้ว่าจีนยึดหลักสันติ จีนและไทยเป็นหุ้นส่วนที่ได้ประโยชน์ร่วมกัน ขอให้จับมือกันสร้างอนาคตที่ดีทั้ง 2 ประเทศ
