เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญศึกษาหลักเกณฑ์วิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จำนวน 49 คน โควต้าพรรคเสรีรวมไทย เปิดเผยว่า ส่วนตัวคาดหวังว่ากรรมาธิการน่าจะทำงานร่วมกันได้ ถ้าทุกคนมองประโยชน์ของประเทศ อย่ามองพื้นฐานว่ามาจากฝ่ายใด หรือทำหน้าที่ภายใต้การสั่งการ หาก กมธ.มีพื้นฐานร่วมกันเพื่อทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีที่สุดก็น่าจะเป็นไปได้ ส่วนเวลาในการศึกษา 4 เดือน ถือว่าเพียงพอ หากจะต้องแก้ไขวิธีการแก้รัฐธรรมนูญในมาตรา 256 ถ้าเอาจริงคุยกันไม่นานก็น่าจะรู้เรื่อง แต่การแก้ไขจะทำอย่างไรให้สมาชิกวุฒิภา (ส.ว.) ให้การสนับสนุน
“ปัญหาในการแก้ไขจะมาจากทุกฝ่าย อยู่ในภาวะขาดความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ดังนั้น การแก้ไขมาตรา 256 น่าจะยาก เพราะจะต้องให้ ส.ว.ดูเนื้อหาสาระในประเด็นที่ต้องการแก้ไข โดยหยิบยกประเด็นที่เป็นปัญหาที่แท้จริงของรัฐธรรมนูญฉบับนี้เท่าที่จำเป็น จากนั้นนำไปให้ ส.ว.พิจารณาว่าจะให้ความเห็นชอบหรือไม่ และเรื่องที่เสนอไม่ควรกระทบกับ ส.ว.โดยตรง ผมเสนอให้หยิบยกประเด็นการได้มาของ ส.ส. บัตรเลือกตั้งใบเดียว การคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ส่วนการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคงเสนอไม่ได้ เพราะจะกระทบ ส.ว. ดังนั้น การแก้ไขจึงควรให้อำนาจ ส.ว.ไว้ แต่มีการเสนอเนื้อหาที่จำเป็นต้องแก้ไขไปก่อน น่าจะเป็นทางออกให้ ส.ว.นำไปพิจารณาด้วยเหตุผล ซึ่งจะดีกว่าการมุ่งแก้ไขวิธีการแก้รัฐธรรมนูญในมาตรา 256 เพราะหากนายกรัฐมนตรีไม่ส่งสัญญาณแรงพอ หรือ ส.ว. พร้อมใจให้มีจำนวน 1 ใน 3 เพื่อเห็นด้วยคงเป็นไปได้ยาก” นายสมชัยกล่าว
นายสมชัยกล่าวอีกว่า ขอให้ทุกฝ่ายติดตามบรรยากาศการทำงานของกรรมาธิการชุดนี้ใช้เวลา 4 เดือน กับการพุดคุยในสิ่งที่เป็นสาระ หรือใช้เวลาให้สูญเปล่าไปกับการถกเถียงเรื่องที่ไม่เป็นสาระ ถ้าเวลาทำงาน 4 เดือน แล้วไม่คืบหน้า หรือไม่มีคำตอบใดๆ ให้กับบ้านเมืองกรรมาธิการก็ต้องออกมาแสดงความรับผิดชอบกับสังคม และไม่อยากให้มองว่ามีการศึกษารัฐธรรมนูญเพื่อแก้ไข ทำให้เห็นว่าเป็นไปตามนโยบายเร่งด่วนข้อ 12 ของรัฐบาล หรือทำให้เห็นว่าเป็นการทำสงครามตัวแทนของแต่ละฝ่าย ดังนั้น ทุกคนต้องผลักดันให้เกิดความสำเร็จตามนโยบายของรัฐบาล แล้วพูดคุยด้วยความจริงใจ ประชุมไม่กี่ครั้ง ไม่ต้องถึง 4 เดือน ปัญหาทั้งหมดจบไม่ยาก
