ผู้เขียน | ปราปต์ บุนปาน |
---|
สภาพการเมืองไทยหลังปีใหม่ 2563 คงเปรียบเสมือน “ทางแยก” สองสาย ที่มีสองหนทางหลักๆ ให้ก้าวเดินไปควบคู่กัน
ด้านนอกสภา “การเมืองบนท้องถนน” ซึ่งเริ่มก่อตัวขึ้นช่วงปลายปี 2562 อาจจะเป็นปรากฏการณ์ที่หลีกเลี่ยงได้ยากในปีหน้า
เมื่อมีนักการเมืองบางคน (หรืออาจขยายกลายเป็นบางกลุ่ม/บางพรรค) ถูกเบียดขัดออกจากระบบปกติ
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความหวังในการต่อสู้ที่กำลังผลิบาน นั้นมี “เสียงเตือน-เสียงปราม” ที่จำเป็นต้องรับฟังเช่นกัน
เริ่มจาก “เสียงเตือน” ของแกนนำม็อบรุ่นก่อนหน้าอย่าง “สนธิ ลิ้มทองกุล” (เสื้อเหลือง) และ “จตุพร พรหมพันธุ์” (เสื้อแดง) ที่ออกมาส่งข้อความถึง “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ในเวลาใกล้เคียงกัน
เป็น “เสียงเตือน” ที่ย้ำถึงความยากลำบากในการกำหนดทิศทาง-ควบคุมความปรารถนาของมวลชน และการเผชิญหน้ากับกลไกอำนาจรัฐอันแข็งกร้าว
ก่อนจะมี “เสียงปราม” (อีกครั้ง) จาก พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ที่เปรียบเทียบกิจกรรม “วิ่งไล่ลุง” ว่าเป็น “วิกฤตการณ์ตัวแทน” ที่มีผู้เสียประโยชน์แอบสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
การเมืองนอกสภาในปี 2563 จะลงเอยหรือนำไปสู่ผลลัพธ์เช่นใด ยังไม่มีใครล่วงรู้
ทว่า ณ ปัจจุบัน ดูเหมือน ด้านหนึ่ง จะมีผู้เชื่อว่า “แฟลชม็อบ” บนสกายวอล์กปทุมวันก็ดี กิจกรรม “วิ่งไล่ลุง” ในเดือนมกราคมก็ดี คงจะเดินไป “ซ้ำรอย” เดิม ที่เกิดขึ้น/ดำเนินมาตลอด 13 ปีหลัง
แต่อีกด้านหนึ่ง ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจำนวนไม่น้อยก็คงมีความเชื่อว่านี่คือปรากฏการณ์ชนิดใหม่ ขับเคลื่อนโดยคนรุ่น/หน้าใหม่ๆ ท่ามกลางบริบท-สถานการณ์แบบใหม่
การต่อสู้อีกหนึ่งสนามนั้นดำรงอยู่ในระบบรัฐสภา
เมื่อท้ายสุด สภาผู้แทนราษฎรก็ลงมติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
น่าสนใจว่าคะแนนเสียงในสภาที่สนับสนุนการตั้งคณะกรรมาธิการดังกล่าวนั้นเป็นเอกฉันท์
ดังนั้น ไม่ว่าบรรดา ส.ส. หลายร้อยคน จะเห็นชอบกับการตั้ง กมธ.ศึกษา-แก้ไขรัฐธรรมนูญ ในฐานะตัวแทนประชาชน ผู้มีความคิดวิจารณญาณเป็นของตนเอง หรือจะเห็นชอบตามมติพรรค-มติวิป ด้วยเหตุผลทางการเมืองบางอย่าง
เราก็มิอาจปฏิเสธได้ว่าแทบทุกฝ่ายมีความเห็นสอดคล้องกันว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้มีปัญหาในเชิงปฏิบัติ
อีกข้อที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือ คณะกรรมาธิการวิสามัญชุดนี้นั้นรวบรวมเสียงต่างขั้วทางการเมืองเอาไว้อย่างกว้างขวาง
ภาพคณะบุคคลใน กมธ.ศึกษา-แก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่กำลังจะเริ่มต้นทำงาน ทำให้ย้อนนึกไปถึงงานวิชาการฉบับคลาสสิกที่ทำการศึกษารัฐธรรมนูญ ด้วยแนวคิดหลักที่ว่ารัฐธรรมนูญคือ “อัตตชีวประวัติเกี่ยวกับสัมพันธภาพทางอำนาจของมนุษย์”
กระบวนการเขียนรัฐธรรมนูญจึงมักนำ “ความใฝ่ฝัน” เชิงหลักการ-นามธรรมบางอย่าง ที่ยังไม่บรรลุถึงจริงๆ มารวมเอาไว้ ขณะเดียวกัน งานศึกษารัฐธรรมนูญก็อาจต้องทำในสิ่งตรงข้าม คือพิจารณาถึง “สิ่งชั่วร้าย” บางประการที่ประพฤติปฏิบัติกันอย่างเป็นปกติวิสัยในสังคมการเมืองด้วย
ในระหว่างทาง กระบวนการทำงาน-ถกเถียงของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ คงฉายภาพของการปะทะสังสรรค์ที่ว่า ออกมาได้กระจ่างชัดเจนขึ้น
ส่วนผลลัพธ์ปลายทางจะออกหน้าไหน
ระหว่างการกลายสภาพเป็นคณะกรรมาธิการที่เต็มไปด้วยการตีรวน ปั่นป่วน ขัดแย้ง จนไม่อาจนำไปสู่บทสรุปหรือแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญอันเป็นรูปธรรม
กับการสามารถรวบรวมผสมผสานความเห็นต่างในสังคม จนนำไปสู่การเริ่มต้นสร้างสรรค์โครงสร้าง-กฎ-กติกาทางการเมืองแบบใหม่ ที่เหมาะสมกับบริบทอันเป็นจริงและเปลี่ยนแปลง
เราคงต้องจับตาดูกันต่อไป
ปราปต์ บุนปาน