ไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่ ว่า พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ล้วนออกมาแสดงความหงุดหงิด ไม่เห็น ด้วยกับกิจกรรม “วิ่ง ไล่ ลุง”
ส่งผลให้เกิดการกดดันคณะผู้จัดอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบจาก เจ้าหน้าที่ตำรวจ
เห็นได้จากการไม่ยอมให้มีการแถลงข่าวอย่างเป็นปรกติ ไม่ว่าจะพยายามติดต่อผ่านสโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย ไม่ว่าจะพยายามทำธุรกรรมกับโรงแรมย่านถนนราชดำเนินแห่งหนึ่ง
สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลพยายามทุกวิถีทางเพื่อสกัดและขัดขวางมิให้กิจกรรม”วิ่งไล่ลุง”เกิดขึ้นได้ในทางเป็นจริง ทั้งมาตรการโดยตรงทั้งมาตรการโดยอ้อม
เท่ากับยืนยันในความวิตกในความกังวลต่อกิจกรรม”วิ่งไล่ลุง”
ในท่ามกลางการประจันหน้าระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มผู้จัดการกิจกรรม”วิ่งไล่ลุง”มีความพยายามจากคณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน
เชิญเจ้าหน้าที่ตำรวจกับคณะผู้จัดเข้ามาทำความเข้าใจเพื่อหาหนทางออกที่เหมาะสมให้วิน วินกันทั้ง 2 ฝ่าย
แต่หากพิจารณาจากท่าทีอันมาจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ความพยายามนี้ ของคณะกรรมาธิการอาจจะสูญเปล่า
การออกมาร้องท้า เยาะเย้ยและหยามหยันบริเวณ”หน้าค่าย”จึงดำเนินต่อไป
ประเด็นอันแหลมคมยิ่งในระหว่างการสกัดขัดขวางก็คือ มีผู้ลงทะเบียนแล้วกว่า 8,000 คนและทำท่าว่าจะเปิดรอบ 2 อีกไม่นาน
จำนวนคนที่ต้องการ”วิ่งไล่ลุง”ต่างหากที่เป็น”สายล่อฟ้า”
ความหงุดหงิด ความไม่พอใจอันมาจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ สามารถเข้าใจได้
เพราะชื่อกิจกรรมก็เด่นชัดว่า “วิ่งไล่ลุง”
เพราะกระบวนการเรียกคนเข้าร่วมไม่เพียงแต่ 1 จะมาจากบทบาทของลุงๆเท่านั้น หากแต่ 1 ยังเป็นกิจกรรมในเชิงสร้างเสริมทางสุขภาพอันดำเนินไปอย่างสร้างสรรค์
การสกัดขัดขวางอาจก่อความหงุดหงิด แต่ในอีกด้านก็เท่ากับเป็นการ”เรียกแขก”อย่างแหลมคมยิ่งทางการเมือง
การวิ่งไล่ลุงในวันที่ 12 มกราคมจึงถูกจับตาอย่างแทบไม่กะพริบ