จีนเช่าที่เขมร 99 ปี สะเทือนไทย

ประชานิยม เป็นคำที่ถูกเรียกขาน ในการที่รัฐบาลลงทุนโดยใช้เม็ดเงิน เข้าอุ้มกิจกรรมต่างๆ ของประชาชน ทั้งกองทุนหมู่บ้าน โครงการจำนำข้าว โครงการรถคันแรก บ้านหลังแรก โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง และอื่นๆ อีกมากมาย ที่มีมาตั้งแต่รัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร มาจนถึงรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ตลอดจนโครงการแก้ไขกฎหมายการเช่าที่ดิน จากที่เคยกำหนดไว้ 50 ปี ขยายออกเป็น 99 ปี ที่เคยมีความพยายามดำเนินการมาตั้งแต่ยุครัฐบาลทักษิณ แต่โปรเจ็กต์ต้องถูกคว่ำไปพร้อมการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ด้วยข้อกล่าวหา “ขายชาติ ขายแผ่นดิน” ที่จะเปิดให้ต่างชาติเช่าที่ดินของรัฐ

กระทั่งรัฐประหาร 2557 ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามาบริหารประเทศ ภายใต้นโยบายประชารัฐ ที่ต่อต้านการประชานิยม กลับดำเนินการตามรอยเดิมเป๊ะ ไม่ว่าจะโครงการรถไฟฟ้า แต่ไม่ได้เป็นรถไฟฟ้าความเร็วสูง สิ่งที่ได้คือรถไฟฟ้าความเร็วปานกลางกับงบประมาณที่สูงขึ้น ตลอดจนโครงการกองทุนหมู่บ้าน ที่ได้ตำบลละ 5 ล้าน จากเดิมรัฐบาลทักษิณให้กองทุนหมู่บ้านละ 1 ล้าน และล่าสุด เพิ่งจะมีการอุ้มราคายางพารา หลังจากที่ตกต่ำถึงขีดสุดถึงขั้น 4 โล 100 บาท โดยรัฐบาลรับซื้อในกิโลกรัมละ 45 บาท

ที่มากไปกว่านั้น มีการผุดโครงการแก้ไขกฎหมายการเช่าที่ดิน จากที่เคยกำหนดไว้ 50 ปี ขยายเป็น 99 ปี ที่มีการผลักดันโดย สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่เคยร่วมสังฆกรรมตั้งแต่สมัยรัฐบาลทักษิณ ขึ้นมาอีกครั้ง

Advertisement

อย่างไรก็ตาม ในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการเปิดให้ต่างชาติเช่าที่ดินได้ดังนี้ ลาว ให้เช่าเพื่อการลงทุน ไม่เกิน 50 ปี เช่าในเขตเศรษฐกิจพิเศษ 75 ปี และเช่าเพื่อการทูต 99 ปี หรือนานกว่า เวียดนาม เช่าได้ไม่เกิน 50 ปี กัมพูชา เช่าได้สูงสุด 99 ปี และสิงคโปร์ เช่าได้สูงสุด 90 ปี

ขณะที่การเช่าที่ดินในประเทศกัมพูชาที่จีนเข้ามาสัมปทาน 99 ปี โดยมีที่ดินของกัมพูชาส่วนที่ใกล้เคียงกับชายแดนลาว 6 แสนไร่ และที่ดินบริเวณจังหวัดเกาะกงที่ติดกับทะเลอีก 6 แสนไร่ โดยที่ดินส่วนใหญ่ ป่า ภูเขา และพื้นที่ทำกินของชาวประมงที่อยู่ติดชายแดนที่จังหวัดเกาะกง ทำให้ประชาชนจำนวนมากได้รับผลกระทบในการทำมาหากิน

กล่าวคือ ชาวประมงที่อาศัยอยู่ชายทะเล ต้องถูกอพยพจากที่ดินทำกินของตัวเองทั้งหมด ทั้งที่ประกอบสัมมาอาชีพประมงทั้งชีวิต ต้องไปอยู่ในป่า ที่ทางจีนจัดหาแล้วสร้างบ้านพักอาศัยพร้อมจัดสรรที่ดินทำกิน โดย 1 ครอบครัว (สามี-ภรรยา) จะได้ที่ดิน 2 เฮกตาร์ หรือ ประมาณ 12.5 ไร่ (1 เฮกตาร์ เท่ากับ 6.25 ไร่) ส่วนผู้ที่เป็นพี่น้องกัน จะได้ที่ดิน แยกกันคนละ 2 เฮกตาร์ ที่พื้นที่ชุมชนให้หากจากที่ทำกินเดิม 30 กิโลเมตร และอยู่บนภูเขา ที่มีการบุกป่า ตัดต้นไม้ โดยต้นไม้ที่ได้จากป่าก็ตกเป็นของจีนโดยปริยาย

Advertisement

นอกจากนี้ ยังมีการขยายถนนที่จะนำไปสู่ชายทะเลของจังหวัดเกาะกง เป็นถนนคอนกรีตขนาด 8 เลน ระยะทางกว่า 50 กิโลเมตร โดยสุดระยะถนนจะถึงพื้นที่ชายทะเล ที่จีนดำเนินการก่อสร้างรีสอร์ต โรงแรมที่พัก โดยมีการใช้แรงงานจากจีน และแรงงานชาวกัมพูชาบางส่วนเป็นแรงงานก่อสร้าง เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวชาวจีนโดยเฉพาะ นอกจากนี้ พื้นที่ที่กำลังถูกก่อสร้าง เป็นลักษณะคอมเพล็กซ์ที่สมบูรณ์แบบ

มีการก่อสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำ และโรงงานไฟฟ้าเป็นของตัวเอง ที่มากไปกว่านั้น กำลังมีแผนการก่อสร้างสนามบินเล็ก เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจากจีนโดยตรง ในพื้นที่คอมเพล็กซ์ โดยในพื้นที่ยังมีทั้งกาสิโนอีกต่างหาก นอกจากนี้ พื้นที่เกาะบางส่วนยังตกเป็นของจีน ทำเอาชาวบ้านที่ทำมาหากินอยู่ในที่ดินมาทั้งชีวิต ต้องน้ำตานองหน้า เมื่อเพิ่งรู้ว่าต้องอพยพครอบครัวจากเกาะขึ้นไปอยู่บนเขา

หลายครอบครัวที่ต้องอพยพ แต่มีบางส่วนสามารถใช้ภาษาไทยได้ ที่ได้รับความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัส เนื่องจากเคยทำกินจากอาชีพประมงตลอดทั้งชีวิต ในการหาปลาในทะเล แต่ทุกวันนี้ต้องหากินในป่า ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ เพื่อประทังชีวิต เพราะไม่สามารถปลูกเพื่อการอุตสาหกรรมได้ เนื่องจากเป็นพื้นที่ห่างไกล ไม่มีรถรับส่งสินค้า ถนนบางส่วนก็เป็นเพียงถนนลูกรัง ซึ่งเดิมพื้นที่บริเวณจังหวัดเกาะกงส่วนนี้ไม่มีถนนตัดผ่าน จะใช้การสัญจรทางเรือ ปัจจุบันมีเพียงรถตู้โดยสารที่บรรจุผู้โดยสารเต็มคันรถ ที่จะวิ่งจากกรุงพนมเปญไปยังจังหวัดเกาะกง ระยะทาง 271 กิโลเมตร และเดินทางต่อไปยังพื้นที่ชายทะเลอีกเกือบ 70 กิโลเมตร โดยประชาชนในบริเวณดังกล่าวมีเพียงรถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจในการเข้าสัมปทานพื้นที่ของจีน มีเป้าหมายใหญ่ในการสร้างท่าเรือน้ำลึก เพื่อขนส่งสินค้าจากจีนเข้ามาบริเวณอ่าวไทย ขึ้นท่าเรือของตัวเอง นอกจากนี้ จีนยังเล็งพื้นที่บริเวณที่จะมีการตั้งจุดเปิดด่านถาวรในอนาคต ซึ่งจะทำให้จีนสามารถควบคุมการค้าชายแดนได้อย่างเบ็ดเสร็จ

สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ชาวกัมพูชาเองยังแทบจะไม่รู้ เพราะรัฐบาลไม่ต้องการให้นำเสนอข่าว เพราะการทำสัมปทานครั้งนี้รัฐบาลกัมพูชาได้เม็ดเงินจากจีนนับ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ และเป็นสิ่งที่ชาวกัมพูชาเองไม่สามารถตรวจสอบรัฐบาลได้ เช่นเดียวกับรัฐบาลไทย หากมีการให้สัมปทานในช่วงเวลาที่รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารปกครองประเทศ ก็ยากที่ประชาชนจะสามารถตรวจสอบได้เช่นกัน!!!

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image