จับตา ไตรมาสแรก การเมือง ปรับใหญ่ เสริมเขี้ยวเล็บ รบ.

มีเหตุการณ์ที่ไม่ธรรมดาเกิดขึ้นในแวดวงการเมืองหลายประการที่น่าติดตามผลที่จะตามติดมา
ประการแรก คือ การทยอยลาออกของคีย์แมนพรรคประชาธิปัตย์
ทั้งการลาออกของ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ลาออกไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และขณะนี้มีบทบาท ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ทั้งการลาออกของ นายกรณ์ จาติกวณิช และตามมาด้วยสมาชิกของพรรคประชาธิปัตย์ในพื้นที่ กทม.
การลาออกของนายกรณ์ มิได้ลาออกไปพร้อมกับการยุติบทบาททางการเมือง หากแต่เป็นการลาออกไปเพื่อหาเส้นทางทางการเมืองของตัวเองใหม่
น่าสังเกตว่า การลาออกของสมาชิกระดับคีย์แมนของพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้ มีสมาชิกพรรคแสดงความเห็นใจ ผิดแผกแตกต่างจากเดิมที่เมื่อใครทิ้งพรรคประชาธิปัตย์ จะถูกสมาชิกพรรคตั้งข้อกล่าวหานานาประการ
ดังนั้น ปรากฏการณ์ของประชาธิปัตย์ย่อมมีอะไรบางอย่างที่น่าสนใจ

ประการที่สอง คือ ความไม่แน่นอนในการอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคฝ่ายค้าน
แม้การยื่นขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนั้น พรรคฝ่ายค้านประกาศมาแต่เนิ่นๆ และมีการหาข้อมูล กำหนดตัวบุคคลคร่าวๆ และแสดงความมั่นใจมาเป็นระยะ
แต่พอถึงเวลาการจะยื่นญัตติจริง กลับปรากฏความไม่แน่นอนออกมา
ทั้งความไม่แน่นอนด้านเวลาที่จะยื่น และความไม่แน่นอนด้านบุคคลที่อยู่ในบัญชีที่ต้องอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ด้านเวลานั้น มีการขยับเวลาการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจออกมาเป็นลำดับ ด้วยเหตุผลทั้งทางด้านเทคนิค และมีความ “ไม่ลงตัว” บางอย่างเกิดขึ้น
แม้พรรคเพื่อไทยพยายามจะยื่นญัตติในวันที่ 20 มกราคม แต่ในที่สุดการยื่นญัตติอาจต้องชะลอออกไปอีกวันสองวัน
อาจจะเป็นวันที่ 21 หรือวันที่ 22 มกราคม
ส่วนด้านบุคคลที่อยู่ในบัญชีที่ต้องอภิปรายไม่ไว้วางใจ ดูเหมือนว่าพรรคการเมืองที่แสดงความพร้อมที่สุดยังคงเป็นพรรคเพื่อไทย ทีมงานของพรรคเพื่อไทยประกาศว่าจะอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี รวม 5 คนมาตั้งแต่ต้น
ในจำนวนนี้ไม่มีชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี
ขณะที่กระแสเสียงอีกส่วนหนึ่งของพรรคเพื่อไทย และมีเสียงจากพรรคร่วมฝ่ายค้านที่ยืนยันว่ามีข้อมูลเพียงพอจะยื่นเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประวิตร
ความไม่แน่นอนนี้น่าจะมีการพูดคุยกันอีกครั้งในวันที่ 20 มกราคม ซึ่งพรรคฝ่ายค้านมีกำหนดการประชุม ร่วมกัน
ความไม่แน่นอนในการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจนี่ก็เป็นอีกปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ
เพราะปกติแล้วการยื่นขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ พรรคฝ่ายค้านจะมีความพร้อมเพรียงกันมากกว่านี้
ผิดกับคราวนี้ที่เหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างที่ยังต้องรอ

ประการที่สาม คือ อาการของ ส.ส.งูเห่าที่แสดงตัวตนทั้งระดับบุคคล และมีอาการในระดับพรรค
เป็นอาการที่แสดงออกมาหลังจากการลงมติร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ที่ผ่านมา
เฉพาะในส่วนของกลุ่มที่ลงมติฝืนจากมติพรรค มีทั้งกลุ่ม ส.ส.งูเห่าเดิมที่เคยมีชื่อเมื่อตอน “เสียบบัตร”    ก่อนลงมติไม่ให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาผลกระทบจาก ม.44
กลุ่มเหล่านี้ยังเทคะแนนเสียงให้ฝ่ายรัฐบาล เป็นการตอกย้ำเจตนารมณ์เดิม
และยังมี ส.ส.ในพรรคการเมืองฝ่ายค้าน นั่นคือ พรรคเศรษฐกิจใหม่ ที่ ส.ส.กลุ่มเดิมที่เคย “เสียบบัตร”   ก่อนที่ประชุมจะมีมติไม่เห็นด้วยกับการตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาผลกระทบจาก ม.44 แล้ว ยังมีสมาชิกใหม่ของพรรคหันมาโหวตสวนทางมติพรรคฝ่ายค้านอีกด้วย
เท่ากับว่า พรรคฝ่ายค้านไม่สามารถยับยั้ง ส.ส.งูเห่าได้

ปรากฏการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเนื่องจากมีกระแสข่าวว่าการเมืองไทยจะมีการปรับใหญ่ในช่วงต้นปีนี้
ในช่วงระยะเวลาอันใกล้ การเมืองไทยอาจจะเกิดปรากฏการณ์ ส.ส.กลุ่มต่างๆ อพยพหาที่อยู่ใหม่
อาจจะเป็นพรรคการเมืองใหม่ หรืออาจจะเป็นพรรคการเมืองอื่นที่ไม่ใช่พรรคการเมืองเดิม
ข่าวว่ามาว่าการปรับใหญ่ของการเมืองดังกล่าวจะเป็น “คุณ” กับฝ่ายรัฐบาลมากว่าฝ่ายค้าน
การปรับตัวทางการเมืองครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญฉบับที่กำลังใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
ผลจากการปรับตัวของการเมืองอาจบั่นทอนพรรคการเมืองขนาดใหญ่ให้ลดขนาดลง และอาจทำให้พรรคการเมืองแต่ละพรรคของไทยมีอำนาจต่อรองไม่แตกต่างกันมากนัก
และสุดท้ายหลังจากการปรับตัวของพรรคการเมืองและนักการเมือง ผลสะเทือนอาจจะส่งไปกระทบถึงคณะรัฐมนตรี
ทั้งหมดนี้เป็นกระแสข่าวที่เกิดขึ้นจากปรากฏการณ์ทางการเมืองในช่วงปลายปีเก่าและต้นปีใหม่
เป็นเรื่องที่ชวนให้จับตามอง
ทุกอย่างหากเกิดขึ้น จะเกิดขึ้นเร็ว และมีผลต่อทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน

Advertisement

จากกระแสข่าวที่ปรากฏ การปรับตัวทางการเมืองนี้จะเกิดขึ้นได้ต้องมีเหตุการณ์ใหญ่ทางการเมืองเกิดขึ้น
เหตุการณ์ใหญ่ในระยะเวลาอันใกล้ จึงหนีไม่พ้นคดีที่อยู่ในศาลรัฐธรรมนูญ
นับตั้งแต่คดีแรกวันที่ 21 มกราคม คือ คดีที่พรรคอนาคตใหม่ถูกร้องเรื่องล้มล้างการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
และตามมาด้วยคดีอื่นๆ ที่มีโทษทัณฑ์ถึงยุบพรรค
ด้วยกระแสข่าวและกำหนดการต่างๆ ที่ปรากฏ ทำให้การเมืองต้องเฝ้าสังเกตการณ์กันตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไป
ต้องเฝ้าจับตามองว่าการเมืองทั้งขบวนใหญ่จะเข้าสู่การปรับตัวจริงหรือไม่
แค่ไหน และอย่างไร

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image