หน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขได้ออกมาเตือนประชาชนให้ดูแลสุขภาพตนเองเป็นระยะ พร้อมกับเตือนภัยที่จะเกิดจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก พีเอ็ม2.5 ซึ่งพบว่าสูงเกินค่ามาตรฐานในหลายพื้นที่ของ กทม. แม้ว่ามีฝนตกลงมาก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่ได้ช่วยบรรเทาปัญหามากนัก ล่าสุด นพ.ขจรศักดิ์ แก้วจรัส รองอธิบดีกรมควบคุมโรค เตือนถึงผู้ที่ต้องทำกิจกรรมในพื้นที่ที่มีค่า พีเอ็ม2.5 สูง เช่น ออกกำลังกายกลางแจ้ง ทำงานกลางแจ้งจะมีความเสี่ยงที่จะได้รับพีเอ็ม2.5 มากกว่า กลุ่มคนที่ออกกำลังกายในที่ร่ม หรือทำงานในอาคาร และยังเตือนถึงกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ กลุ่มเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคหืด ภูมิแพ้ หากได้รับมลพิษจากฝุ่นละอองขนาดเล็กเข้าสู่ร่างกาย อาจทำให้เกิดการเจ็บป่วยหรือมีผลกระทบรุนแรงมากกว่าประชาชนทั่วไป
นพ.ขจรศักดิ์แนะนำให้ประชาชนสังเกตอาการบุคคลในครอบครัวที่ป่วยด้วย 4 กลุ่มโรคสำคัญ ดังนี้ 1.กลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น เหนื่อยง่าย หัวใจเต้นเร็ว 2.กลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ เช่น คัดจมูก น้ำมูกไหล แสบจมูกและลำคอ 3.กลุ่มโรคผิวหนังอักเสบ เช่น อาการคันตามร่างกาย มีผื่นแดงตามร่างกาย และ 4.กลุ่มโรคตาอักเสบ เช่น อาการแสบหรือคันตา น้ำตาไหล และตาแดง หากสงสัยหรือมีอาการผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว พร้อมกับแนะนำให้ตรวจสอบคุณภาพอากาศในพื้นที่ โดยติดตามสถานการณ์ค่าฝุ่นละออง พีเอ็ม2.5 ได้ที่แอพพลิเคชั่น Air4Thai ของกรมควบคุมมลพิษและยังสอบถามได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร 1422
ในปัญหาเดียวกันนี้ มีเสียงเรียกร้องนิสิตนักศึกษาหลายสถาบันออกมาขอให้รัฐบาลเร่งจัดการแก้ปัญหา ทั้งระยะยาวและระยะสั้น เนื่องจากกลุ่มนักเรียนนักศึกษาถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่น่าเป็นห่วงและยังมีจำนวนมากด้วย ขณะที่รัฐบาลมั่นใจว่า ปัญหาจะหมดไป เมื่อโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าเสร็จสิ้นในอีก 3 ปีข้างหน้า ช่วงนี้ให้หน่วยงานทุกฝ่ายแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันไปก่อน สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือสุขภาพของประชาชนที่ต้องสุ่มเสี่ยงกับสภาพฝุ่นละอองที่ไม่มีการควบคุม พรรคการเมืองบางพรรค ได้แก่ พรรคอนาคตใหม่ ได้นำหน้ากากป้องกันฝุ่น พีเอ็ม2.5 แจกตามพื้นที่ต่างๆ และรณรงค์ให้ความรู้ เป็นอีกแนวทางที่จะช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ในเรื่องนี้ สภาไม่ควรนิ่งเฉย แต่ควรแสดงบทบาท ทั้งตรวจสอบปัญหา เสนอแนะ และเสนอกฎหมาย เพื่อมิให้สภาพเช่นนี้เกิดขึ้นเอง และไม่มีเจ้าภาพรับผิดชอบปัญหาอย่างจริงจัง
