จังหวะก้าวของพรรคอนาคตใหม่ ไม่ว่าจะจาก นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ไม่ว่าจะจาก นายปิยบุตร แสงกนกกุล ในห้วงก่อนการอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดีอิลลูมินาติเป็นต้นมา
น่าจับตา น่าสนใจอย่างเป็นพิเศษ
ความสนใจส่วนหนึ่งอาจพุ่งไปยังบทบาทของ นายปิยบุตร แสงกนกกุล ผ่านคำแถลงปิดคดีนอกศาลรัฐธรรมนูญ และการเตรียมพร้อมเดินหน้าพรรคอนาคตใหม่
ขณะที่บทบาทของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ คือ การนำเสนอพิมพ์เขียวการแก้ปัญหาและพัฒนาประเทศของพรรคอนาคตใหม่อย่างเป็นระบบ
เท่ากับเป็นการก้าวข้ามบทบาทและความหมายของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปโดยสิ้นเชิง
บางคนที่มองและประเมินบทบาทพรรคอนาคตใหม่ด้วยสายตาทาง การเมืองแบบเก่า กระบวนทัศน์เก่า อาจเห็นเป็นความเพ้อฝัน มโนในทางความคิดอย่างเลื่อนลอย
เหมือนที่เคยมองและประเมินพรรคอนาคตใหม่เมื่อแรกประกาศ ตัวที่จะเล่นการเมืองโดยไม่มีอดีตส.ส. ไม่มีระบบหัวคะแนน
มองว่าเป็นไปไม่ได้ มองว่าเป็นความเพ้อฝัน เลื่อนลอย
หาได้ตระหนักไม่ว่าพรรคอนาคตใหม่ได้เสนอตัวเข้ามาในห้วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านอย่างมีนัยสำคัญจากพลังของคนติดความคิด ใหม่ จากพลังของคนรุ่นใหม่
ต่อเมื่อประสบเข้ากับคลื่นแห่งการลงคะแนนเสียงให้มากกว่า 6.3 ล้านคะแนนทั่วประเทศ สามารถกำชัยเหนือพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทยได้ ทุกคนจึงตกอยู่ในภาวะนะจังงังงงงวย
สถานการณ์ในห้วงเดือนมกราคมนี้ก็แทบไม่แตกต่างกัน
ทิศทางของพรรคอนาคตใหม่คือ 1 คือทิศทางผลักดันในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 1 คือ การพัฒนาประเทศจากซากปรักหักพังที่คสช.ได้กระทำเอาไว้
ความหมายที่ลึกซึ้งอย่างยิ่งก็คือ การเปิดแผลของคสช. การเปิดแผลของรัฐประหาร
โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นเป้าหมายใหญ่
ความหมายก็คือ การมองและประเมินว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังอยู่ในภาวะขาลง
จำเป็นต้องมีจินตนาการใหม่ จำเป็นต้องมีข้อตกลงใหม่
จังหวะก้าวเช่นนี้เองมีความจำเป็นที่พรรคอนาคตใหม่โดย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จะต้องแปรนามธรรมแห่งนโยบายให้เป็นรูปธรรม ที่พร้อมจะปฏิบัติ
นี่คือสัญญาณใหม่ นี่คือจังหวะก้าวใหม่