“จตุพร” เชื่อการเสนอเปลี่ยนแปลงญัตติ จะเป็นโมฆะ เผยพรุ่งนี้จะไปให้กำลังใจแกนนำนปช.ที่ต้องคดีล้อมบ้านพักสี่เสาเทเวศร์

เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในรายการหยิบข่าวมาคุย ทางสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมพีซทีวีประจำวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563 ต่อกรณีศาลอาญานัดอ่านคำพิพากษาในชั้นฎีกา คดีชุมนุมล้อมบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เมื่อปี 2550 ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์นี้ ว่า ตนจะเดินทางไปให้กำลังใจ ซึ่งเป็นความเข้าใจกันว่าในช่วง 10 ปีมานี้ ตนในฐานะที่เข้าคุกบ่อยมากกว่าคนอื่นก็ได้มีโอกาสคุยกับมิตรสหายและน้อมรับชะตากรรมเพราะการเข้าออกคุกในช่วง 10 ปีมานี้ก็สลับกันเข้าออกมาตลอด บางคนอาจจะมาก บางคนอาจจะน้อย แต่ก็ต้องทำใจว่า คนในกระบวนการ นปช.แทบจะไม่เหลืออยู่ในทางการเมืองเพราะจะติดคุกกี่วันก็ตาม หลังจากพ้นโทษจะต้องบวกโทษทางการเมือง 10 ปี เช่นเดียวกันกับกลุ่มพันธมิตรคดียึดทำเนียบรัฐบาลก็ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปีเช่นกัน ดังนัันผลคำวินิจฉัยจะออกมาอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลก็ว่ากันตามนั้น

นายจตุพร กล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ว่า ในทางปฏิบัติแม้มาตรการของฝ่ายรัฐบาลบอกว่า หากมีการพูดเรื่องเดิมของคสช.จะเสนอปิดการประชุมนั้นต่างรู้กันดีว่าในทางปฏิบัติเขาไม่ทำกันแบบนี้ เพราะการปิดปากกันในสภาก็ลุกลามออกนอกสภา ดังนั้นตนเห็นว่า หากตกลงกันได้ก็จะจบ ส่วนเรื่องการให้เปลี่ยนถ้อยคำการกล่าวหาว่า ญัตติอันเป็นเท็จนั้นเป็นข้อกล่าวหา แต่ในทางปฏิบัติจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ ซึ่งประธานสภาผู้แทนราษฎรได้ยืนยันแล้วว่า ไม่สามารถเปลี่ยนได้ โดยเทียบเคียงกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายค้านได้มีการขอเปลี่ยนแปลงแก้ไขญัตติ ก่อนที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรจะบรรจุระเบียบวาระการประชุม แต่ปรากฏว่าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าทำไม่ได้ ดังนั้นการเสนอให้เปลี่ยนญัตติก็จะทำให้ญัตติเป็นโมฆะ พร้อมมองว่าการจัดองครักษ์พิทักษ์รัฐบาลนั้น จะทำให้สภาเสียเวลาส่วนการอภิปรายจะต้องเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ไม่ใช่อภิปรายแนะนำรัฐบาล

เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่

เพิ่มเพื่อน

Advertisement

นายจตุพร กล่าวถึง เรื่องการแก้ปัญหาไวรัสโคโรนาหลังรัฐบาลรับคนไทย 138 คนในเมืองอู่ฮั่นกลับไทยแล้วเมื่อวานนี้กับกรณีเฟคนิวส์ ว่า คนไทยมีความห่วงใยกันซึ่งไม่ใช่เรื่อง เฟคนิวส์ ที่จะไปสร้างความกังวล ซึ่งตนเคยบอกกับรัฐบาล ไม่ว่ารัฐบาลไหนก็ตาม อย่าไปวิตกกับคำว่าผู้อยู่เบื้องหลัง แต่จงแก้ไขปัญหาเบื้องหน้า หากปัญหาได้รับการแก้ไข เบื้องหลังก็จบไปโดยปริยาย เฟคนิวส์ก็เช่นเดียวกัน หากเป็นข่าวเท็จหรือข่าวลวงความจริงจะเป็นตัวอธิบายทุกอย่าง แม้ว่าช่วงที่ผ่านมา ระหว่างความจริงกับความเท็จจะสวนทางกันก็ตาม ดังนั้น รัฐบาลอย่าไปกังวลกับเฟคนิวส์จนกระทั่งปั่นกระแสกันเกินเหตุ หน้าที่ของรัฐบาลคือหน้าที่ในการปฏิบัติการแก้ไขปัญหา ส่วนบุคคลอื่นที่ไม่ใช่รัฐบาลไม่ว่าจะเป็นประชาชนหรือนักการเมืองก็ต้องทำหน้าที่ในการพูด ในการนำเสนอผ่านโซเชียลมีเดีย หรือในรูปแบบต่างๆ เพราะมีความเป็นห่วงในชะตากรรมของคนไทยเหล่านั้นรวมถึงคนไทยในประเทศด้วย รัฐบาลก็ไม่ควรไปกังวล หรือโกรธเคืองกันในเรื่องนี้ แต่มีหน้าที่ ทำความจริงให้ปรากฎเท่านั้น แต่กลับแก้ปัญหาด้วยการเอาเรื่องเฟคนิวส์เป็นเรื่องหลักแทนการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นดังนัันหากรัฐบาลต้องการเป็นผู้พูดบ้าง ก็ออกจากการเป็นรัฐบาลเสีย แล้วให้คนที่เป็นผู้วิพากษ์วิจารณ์ ไปทำหน้าที่แทน แต่หากตราบใดที่ยังเป็นรัฐบาล แม้ว่าจะเบื่อ ไม่อยากอยู่ แต่ไม่ยอมลาออก ก็ไม่ต้องบ่น แต่มีหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาและต้องอดทนฟังกับคนที่มีความคิดเห็นที่แตกต่าง รวมถึงอย่าเอาเรื่องที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มาเป็นอารมณ์ แต่จงเอาเรื่องที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มาแก้ไขปัญหาแล้ว ปฏิบัติให้ประชาชนเห็นว่ามีน้ำยาหรือไม่

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image