“ประวิตร” ไม่ห้าม “สุดารัตน์” นัดนักการเมืองรุ่นเก่าหารือ ขออย่าทำผิดกฎหมาย ยันไม่แปลกใจออกมาเคลื่อนไหว โยน กกต.พิจารณา “วัฒนา” พบ “ทักษิณ” ย้ำไม่ทบทวนคำสั่ง คสช.ให้กลุ่มการเมืองออกนอกประเทศ ปฏิเสธนำผู้ลี้ภัยเมียนมาแสนคนกลับบ้าน
วันนี้ (1 กรกฎาคม) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุถึงการเดินหน้าพูดคุยหารือกลุ่มนักการเมืองเก่าเพื่อหาทางออกประเทศร่วมกันในสัปดาห์หน้าของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย ว่า สามารถทำได้แต่อย่าให้เกินเลยเพราะเชื่อว่าทุกคนหวังดีต่อประเทศชาติ ตนไม่ได้ว่าอะไร หากคุยหมายคนก็มีกฎหมายบังคับใช้อยู่ และถ้าทำผิดก็ต้องว่าไปตามกระบวนการ อย่าสร้างความขัดแย้ง
ส่วนการออกมาเคลื่อนไหวในช่วงนี้ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับเรื่องดังกล่าวแต่ต้องถามกลับไปยังคุณหญิงสุดารัตน์เอง เพราะตนไม่ใช่คนคิดเรื่องดังกล่าว แต่ขออย่าสร้างความแตกแยก จนก่อให้เกิดความไม่สงบและความขัดแย้ง พร้อมระบุว่าหากพูดคุยแล้วทำให้เกิดการชักจูง หรือโฆษณาชวนเชื่ออย่างใดอย่างหนึ่งไม่สามารถทำได้
นอกจากนี้กรณีที่นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย เดินทางไปพบนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่สิงคโปร์ พร้อมใส่สวมเสื้อไม่ระบุร่างรัฐธรรมนูญ จะกระทบต่อการทำประชามติในวันที่ 7 สิงหาคมนี้หรือไม่นั้น พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ต้องให้ กกต.เป็นผู้ตัดสินตามกระบวนการของกฎหมาย เนื่องจากมีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องดังกล่าวอยู่แล้ว ส่วนจะมีผลต่อจิตวิทยามวลชนหรือไม่นั้น ตนไม่สนใจเรื่องดังกล่าว สนใจแต่เรื่องกฎหมายเพียงอย่างเดียว ดังนั้นจะเกิดความขัดแย้งขึ้นอีกไม่ได้ พร้อมทั้งยืนยันว่าจะไม่มีการทบทวนคำสั่ง คสช. ในการอนุญาตให้กลุ่มการเมืองที่มีคดีติดตัวเดินทางออกนอกประเทศ เพราะเมื่อออกคำสั่งให้แล้วก็ให้เลย แต่การพิจารณาว่าจะอนุญาตหรือไม่ก็เป็นเรื่องของศาล และได้ปฏิเสธตอบว่าการเดินทางมาใกล้กับประเทศไทยของนายทักษิณจะกระทบกับสถานการณ์ของประเทศ และขอให้ไปถามนายทักษิณเอง
ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรี ยังได้ปฏิเสธกระแสข่าวที่ระบุว่าจะนำผู้ลี้ภัยชาวเมียนมากลับประเทศจำนวน 1 แสนคน ว่า ไม่เป็นความจริง เนื่องจากเมื่อวานตนได้หารือกับเมียนมาด้านความร่วมมือจัดเตรียมพื้นที่เพื่อรองรับผู้ลี้ภัยกลับโดยเมื่อกลับไปจะต้องมีอาชีพรองรับ ซึ่งจะต้องตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อมาดูแล แต่ขณะนี้ยังไม่มีการดำเนินการ ขออย่าห่วงเพราะได้มอบหมายให้ สภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ดูแลเรื่องดังกล่าวแล้ว
