ประเมินอนาคต’อนค.’ หลัง 21 ก.พ. – อำนาจ สถาวรฤทธิ์

วันที่ 21 กุมภาพันธ์ เวลา 15.00 น. เป็นอีกหนึ่งปมร้อนที่ชาวพลพรรคสีส้ม อย่างพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) จะต้องมาลุ้นกับวิกฤตทางการเมืองอีกระลอก กับการที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งยุบพรรค อนค.หรือไม่ กรณีกู้เงินจากนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค อนค. จำนวน 191 ล้านบาท ฝ่าฝืนมาตรา 72 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 ที่ห้ามมิให้พรรคการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบ

ก่อนการอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ “อำนาจ สถาวรฤทธิ์” ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ฝ่ายการเมือง เปิดมุมมองถึงผลแห่งคดียุบพรรค อนค.หรือไม่

นายอำนาจมองว่า การพิจารณาคดีพรรค อนค. ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ของศาลรัฐธรรมนูญ มีหลายฝ่ายให้ความสนใจมาก เช่น มีกลุ่มนักวิชาการ นักคิด นักเขียน เคลื่อนไหวรณรงค์ร่วมลงชื่อผ่านเว็บไซต์ www.change.org กันเป็นจำนวนมากเพื่อคัดค้านให้มีการยุบพรรค อนค. แต่มุมมองผลการตัดสินในวันที่ 21 กุมภาพันธ์นั้น ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ เนื่องจากเป็นดุลพินิจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะวินิจฉัยคดี

ผลตัดสินสามารถออกมาได้หลายแนวทาง ไม่ว่าจะยุบพรรคและตัดสิทธิทางการเมืองคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) หรือไม่ยุบพรรค อนค. แต่ตัดสิทธิ กก.บห. หรืออาจจะยกคำร้อง หรืออาจจะยกคำร้องแล้วส่งเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตั้งเรื่องใหม่แล้วส่งฟ้องไปยังศาลอาญากันใหม่ เท่าที่ผมประเมินในในเวลานี้ก็ยังมีถึง 4 ช่องทาง แต่ก็ต้องเคารพในดุลพินิจของศาลที่มีอำนาจพิจารณา

Advertisement

แต่เท่าที่ผมอยู่กับพรรค อนค.มา รับรู้ได้ว่าพรรค อนค.มีเจตจำนงทำงานให้กับบ้านเมือง สร้างสิ่งที่เป็นคุณให้กับประเทศ ในมุมมองของผม หลายเรื่องที่พรรค อนค.เสนอผ่านสังคมถือว่าเป็นประโยชน์ เช่น การปฏิรูปกองทัพ ก็เป็นเรื่องที่ดีที่ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้ขานรับในการปฏิรูปกองทัพ

เรื่องเหล่านี้คงไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นผลงานของพรรค อนค.เพียงอย่างเดียว เพราะ ผบ.ทบ.อาจมีการคิดในเรื่องการปฏิรูปกองทัพไว้บ้างแล้ว ผมคิดว่าในอีกหลายเรื่องที่ ส.ส.และแกนนำของพรรคได้เสนอแนวคิดที่เป็นประโยชน์กับประเทศในยุคปัจจุบัน แม้บางเรื่องอาจจะดูเร็วไป แต่ก็เป็นเรื่องที่พูดกันในระบอบรัฐสภา บางเรื่องอาจจะเปลี่ยนได้เร็วหรือช้าก็เป็นไปตามกระบวนการของรัฐสภาที่จะพิจารณากัน

ผมมีความคิดว่าผลการตัดสินคดีของพรรค อนค.ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์นี้ ถ้าจะให้พูดแบบภาษานักการเมืองหรือนักวิเคราะห์การเมืองเปรียบเสมือน “สันปันน้ำทางการเมือง” อีกครั้งหนึ่งว่าจะมีผลทางการเมืองอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น อย่างที่บอกไปแล้วช่องทางของคำวินิจฉัยสามารถออกมาได้หลายแนวทาง ผมยังคาดหวังว่าคำวินิจฉัยจะออกมาในแนวทางที่เป็นผลดีกับพรรค อนค. คือ 1.ยกคำร้อง หรือ 2.ส่งให้ กกต.ไปดำเนินการส่งฟ้องไปที่ศาลอาญา เปิดโอกาสให้สืบสวนพยานและข้อเท็จจริงกันใหม่

Advertisement

เพราะในคดีนี้ กกต.ได้ส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ โดยไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาต่อผู้ถูกร้อง จึงไม่มีโอกาสให้ชี้แจงทั้งเรื่องพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงที่ถูกกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญ

ขณะเดียวกันยังมีความกังวลว่า หากการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญออกมาเป็นลบกับพรรค อนค. ก็จะส่งผลคือ 1.การทำลายความตั้งใจของกลุ่มคนรุ่นใหม่และผลักเขาให้ออกจากพื้นที่การต่อสู้ทางการเมืองในระบอบรัฐสภา เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะส่วนตัวเคยต่อสู้นอกระบบรัฐสภามาแล้ว แต่สุดท้ายด้วยความพยายามของผู้มีอำนาจและมีบารมีในขณะนั้นก็ดึงกลับมาให้มาสู้ในระบบรัฐสภา แต่คนรุ่นใหม่กลุ่มนี้ได้ต่อสู้ในระบบรัฐสภาอยู่แล้ว แต่ทำไมถึงจะไล่เขาให้ออกไปต่อสู้นอกระบบรัฐสภา ในฐานะที่ได้ร่วมทำงานกับกลุ่มคนเหล่านี้มาไม่สามารถที่จะยืนยันได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น

อย่างที่ผมเคยพูดไว้ว่า สภาก็ไม่ให้เขาเข้า พอจะไปลงท้องถนนก็ตกใจ จะเอาติดคุกเขาก็ไม่กลัว ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วกลุ่มคนที่สนับสนุนพวกเขาจะเป็นอย่างไร ซึ่งผมไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น ไม่อยากเห็นคนต้องมาต่อสู้กันโดยไม่เป็นไปตามกติกา เพราะที่ผ่านมาสังคมบอบช้ำมามากพอแล้ว เรื่องนี้มีความกังวล ในฐานะที่เป็นศิษย์เก่าคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เมื่อปี 2516 ด้วยความเป็นห่วงอยากให้พิจารณาดูว่า มันจะสร้างปมปัญหาให้เกิดความขัดแย้งรอบใหม่ของสังคมอีกหรือไม่

ส่วนตัวเป็นห่วงไม่อยากให้สังคมถอยกลับไปขัดแย้งเหมือนในอดีต ความคิดเห็นที่แตกต่างทุกอย่างก็มีกฎ กติกา ในการจัดการคลี่คลายไปตามขั้นตอนและกลไกอยู่แล้ว

หากจะให้วิเคราะห์ผลการการตัดสินพรรค อนค.ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ “อำนาจ” ประเมินว่า หากจะให้ประเมินผลที่เกิดขึ้นในการตัดสิน หากเป็นไปทางบวก ไม่ยุบพรรค ไม่ตัดสิทธิ กก.บห. อย่างมากพรรค อนค.คงไม่มีเหตุผลใดที่ต้องดีใจจนเกินกว่าเหตุ ถือว่าเป็นการผ่านอีกหนึ่งวิกฤตทางการเมือง ก็เดินหน้าทำงานในระบบรัฐสภาต่อไป เพื่อสะท้อนเจตจำนงของประชาชน และเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้นตามแนวทางที่พรรค อนค.จะขับเคลื่อน

หากผลออกในทางลบ ทางสมาชิกพรรค อนค.ทั่วประเทศได้หารือกันแล้วว่าหากพรรค อนค.ถูกยุบ จะแยกกันฟ้องร้องต่อ กกต.ว่าทำผิดกระบวนการ ไม่มีการไต่สวนพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นถือเป็นสิทธิของสมาชิกพรรคที่ทำได้ และอาจจะเป็นมูลเหตุของการเคลื่อนไหวต่อไป สังคมอาจจะเกิดความอลหม่านพอสมควร เรื่องนี้คงไม่สามารถไปห้ามปรามได้ แต่ตัวพรรค อนค.มีการเตรียมการรองรับไว้เรียบร้อยแล้ว

คิดว่าหากจะดับไฟหาทางออกที่ดีได้ จะเป็นเรื่องที่ดีที่สังคมรอคอยและปรารถนาอยู่ คิดว่าทุกฝ่ายที่ดูแลบ้านเมืองอยู่ในเวลานี้ต้องรับฟังและเปิดพื้นที่กับกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้แสดงความคิดเห็นและขับเคลื่อนสังคมไปพร้อมๆ กันด้วย เพราะกลุ่มคนรุ่นใหม่ในขณะนี้เป็นส่วนหนึ่งในการกำหนดอนาคตของสังคมและบ้านเมืองด้วย เพราะประสานการทำงานของทั้งคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่า มองว่าเป็นเรื่องปกติของการพัฒนาและขับเคลื่อนสังคม ทุกฝ่ายควรจะประสานการทำงานของคนทุกรุ่นเข้าด้วยกัน อย่าให้เกิดช่องว่างระหว่างคนในแต่ละรุ่น

จะขอดูการตัดสินคดีในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ในฐานะที่เฝ้าดูทางการเมืองและในฐานะที่มีบทบาทอยู่ในพรรค อนค. ยังยืนยันว่าแกนนำ ส.ส. และสมาชิกของพรรค อนค. ไม่มีเจตนาที่ไม่ดีต่อบ้านเมือง จึงไม่อยากเห็นความขัดแย้งรอบใหม่ ส่วนตัวผมยังยืนยันคำตอบเดิม คือ การต่อสู้ในระบบรัฐสภา คือแนวทางที่ดีที่สุดที่จะให้การศึกษาและทำความเข้าใจกับประชาชนในการที่จะเปลี่ยนแปลงเรื่องต่างๆ เพราะฉะนั้นอย่าไปกลัวเรื่องที่จะไปต่อสู้กันในสภา เพราะในสภาจะมีตัวแทนทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาลที่เป็นตัวแทนของประชาชนเข้าไปถกเถียงกันเพื่อให้ได้ข้อสรุปและไปแก้ปัญหาให้กับประชาชน

ขณะที่การเดินหน้าของพรรค อนค. หลังการตัดสินคดีในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค อนค.บอกว่า ไม่ว่าผลจะออกมาในทางบวกหรือลบ แกนนำพรรค อนค.ยังคงเดินหน้าในอุดมการณ์และเจตจำนงของพรรค อนค.ต่อไป ไม่มีสะดุดหรืออ่อนพลังลงอย่างแน่นอน เพราะเขามีความฝัน มีความหวัง มีความคิด มีจินตนาการที่อยากจะเห็นประเทศในแนวทางที่ควรจะเป็น แม้จะถูกจำกัดบทบาทหน้าที่ในการแสดงออกในระบบรัฐสภา แต่ไม่สามารถไปหยุดความคิด ความฝันและการขับเคลื่อนอุดมการณ์ของพวกเขาได้ ที่ผมเป็นห่วงคือเมื่อไปจำกัดพื้นที่การแสดงออกของพวกเขาแล้ว หากพวกเขาไปเปิดพื้นที่การเคลื่อนไหวในรูปแบบอื่นๆ ตรงนี้ก็น่าเป็นห่วง แทนที่จะไปพูดกันทีละคนในสภา แต่คราวนี้พอเขาไปพูดพร้อมๆ กันเป็นพันเป็นหมื่นคนนอกสภา ตรงนี้อาจจะทำให้การพูดคุยกันไม่รู้เรื่องได้

“ผมยังเชื่อมั่นว่าแม้จะไม่มีแกนนำพรรค อย่างนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค อนค. และนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค อนค. เข้าไปขับเคลื่อนการทำงานในสภา ก็สามารถขับเคลื่อนการทำงานของพรรค อนค.กับสมาชิกพรรค และ ส.ส.ของพรรคในสภาได้อย่างต่อเนื่องและสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนได้ อีกทั้งที่ผ่านมาการขับเคลื่อนทางการเมืองไม่ว่าจะฝ่ายประชาธิปไตย ฝ่ายเผด็จการ ทุกกลุ่ม ทุกฝ่ายก็จะมีผู้นำมาขับเคลื่อนภารกิจกันได้ได้ทุกยุคทุกสมัย เพราะที่ผ่านมาแม้นายธนาธรถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้พ้นสภาพการเป็น ส.ส.กรณีถือหุ้นสื่อ แต่การขับเคลื่อนของพรรค อนค.ภายในนอกสภาก็เป็นไปด้วยความเข้มข้น อีกทั้งยังมีประชาชนมาสมัครสมาชิกพรรคเพิ่มมากขึ้นด้วย

รวมทั้งภารกิจการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ในส่วนของพรรค อนค.ยังคงเข้มข้นเหมือนเดิม เพราะนายธนาธร หัวหน้าพรรค อนค. ให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวมากได้เตรียมการทั้งเรื่อง 16 ส.ส.ที่จะอภิปราย รวมทั้งข้อมูลหลักฐานและข้อเท็จจริงอย่างเข้มข้น แม้หากเกิดอุบัติเหตุจนทำให้ กก.บห.ถูกตัดสิทธิไม่สามารถอภิปรายในสภาได้ แต่สามารถส่งต่อข้อมูลให้กับ ส.ส.ที่อยู่ในสภาอภิปรายต่อได้ ซึ่งจะไม่ทำให้ประชาชนผิดหวังต่อการทำหน้าที่ของ ส.ส.พรรค อนค.อย่างแน่นอน” อำนาจ กล่าวทิ้งท้าย

ส่วนพรรค อนค.จะได้ไปต่อหรือไม่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 21 กุมภาพันธ์นี้ จะเป็นคำตอบ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image