สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ดีลเมกเกอร์ – ใบสั่ง?

หมายเหตุ – คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์มติชน กรณีการรับอาสาตั้งวงพูดคุยกันระหว่างนักการเมือง-นักวิชาการ เพื่อหาทางออกประเทศ

– การพูดคุยหาทางออกประเทศเกิดขึ้นได้อย่างไร

จากเวทีเสวนาที่มหาวิทยาลัยมหิดล โดยตอนท้ายอาจารย์ได้สรุปผลจากการถกแถลงและบอกว่านักการเมืองเป็นสาเหตุหนึ่งของปัญหา ทำไมไม่คิดที่จะคุยกันบ้าง วันนั้นทุกคนบนเวทีเห็นด้วยกันหมด ดิฉันแสดงความเห็นว่า ดิฉันเห็นด้วยที่จะมีการพูดคุยกัน เพราะช่วงที่ดิฉันไม่ได้กลับมาเล่นการเมืองได้ใช้เวลาเรียน

พุทธศาสตรบัณฑิต ปริญญาเอก และทำวิทยานิพนธ์เรื่องพุทธวิธีเชิงบูรณาการเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองไทย จึงได้นำไปพูดในเวทีวันนั้นว่า ดิฉันเห็นด้วย เพราะการจะแก้ปัญหาอะไรต้องเริ่มที่ตนเองก่อน และเนื่องจากดิฉันได้ทำวิทยานิพนธ์นี้ จึงได้ไปพบนักการเมืองหลายคน ซึ่งเป็นการพบแบบปัจเจก โดยหลายคนที่ไปพบล้วนเห็นด้วย แต่ไม่ใช่การมาตั้งกลุ่ม

Advertisement

ตั้งก๊วนทำอะไร และวันนั้นก่อนขึ้นเวทีเราก็ได้คุยกัน และเห็นตรงกัน พอขึ้นเวทีแล้วอาจารย์ท่านพูดขึ้นมา เราก็เลยรับลูกกันว่านักการเมืองควรคุยกันจริงๆ นี่คือที่มาที่ไป ไม่ใช่อยู่ๆ ดิฉันคิดว่าดิฉันมีอำนาจหรือมีบารมีไปเรียกใครมาคุย แต่ในฐานะที่เราเป็นนักการเมืองเราควรแสดงความรับผิดชอบต่อประชาชนและประเทศชาติ จึงสนับสนุนแนวคิดนี้

แล้วพอออกจากวงเสวนามาก็มีการนำเสนอข่าวโดยบอกว่าดิฉันเป็นคนนำเสนอแนวคิดนี้จึงมีคนเอาไปโยงเรื่องการเมือง ทั้งนี้ อยากให้เกิดภาพที่สังคมมั่นใจว่าทุกฝ่ายจะร่วมมือกันนำพาประเทศออกจากวิกฤต โดยการมานั่งคุยกันว่าจะทำอย่างไรให้ตัวเราลดการเป็นปัญหาของประเทศ และการจะพูดกันในเรื่องใดๆ จะต้องเป็นเรื่องที่ไม่ก่อให้เกิดปัญหาต่อไป และขอให้สบายใจได้ว่าสิ่งที่พวกดิฉันคิดไม่ได้คิดเพื่อไปคุยกันเพื่อต่อรองผลประโยชน์ให้พรรคการเมือง หรือนักการเมืองในยามที่บ้านเมืองลำบากแบบนี้ ใครคิดจะต่อรองผลประโยชน์ให้ตัวเองคนนั้นคงอยู่ในสังคมไม่ได้ นี่เป็นความตั้งใจบริสุทธิ์ และไม่ใช่อยู่ๆ ลุกขึ้นมา เราเจียมเนื้อเจียมตัวตัวเองดีว่าเราไม่ได้มีอำนาจ หรือไม่ได้มีบารมีไปเรียกใครมาคุย

แต่เป็นการเสนอในวงประชุมแล้วเราอยากให้มี

Advertisement

ส่วนที่ถามว่าจะเดินต่อไปหรือไม่นั้น คิดว่าการที่เราจะแก้ไขปัญหาของบ้านเมืองโดยเริ่มจากการพิจารณาข้อบกพร่องของตนเอง แล้วแก้ไขจากตนเองออกไปก่อน เป็นการพูดคุยอย่างสร้างสรรค์เพื่อที่จะลดปัญหาของประเทศก็ไม่น่าจะเป็นพิษเป็นภัย และใครที่เห็นด้วยก็มาคุยกันซึ่งก็จะมีทั้งนักการเมือง นักวิชาการ และวงอื่นๆ

ด้วยเจตนาบริสุทธิ์ เพราะใครที่คิดเข้ามาต่อรองผลประโยชน์คนนั้นก็ใช้ไม่ได้แล้ว ดังนั้น ถ้าเราคุยกันต่อก็ขอให้สังคมสบายใจได้ว่า วันนี้ควรจะยุติได้แล้ว ไม่ใช่ไปแก้รัฐธรรมนูญเพื่อเลือกตั้ง แล้วเริ่มต้นความขัดแย้งใหม่

ส่วนคำถามที่อยากจะรู้ว่าแล้วจะไปอย่างไรต่อ ในข้อเท็จจริงคือเราได้มีการคุยกันเป็นส่วนบุคคลในหลายวงการอยู่บ้าง เพราะดิฉันต้องทำวิทยานิพนธ์มีคนเห็นด้วยหลายคนที่เราช่วยกันคิดอยู่ แต่เราเป็นกำลังกันเล็กๆ เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เพราะเราไม่มีอำนาจอะไร เพียงแต่เราคงจะมีโอกาสได้เสนอแนวทางแก้ แต่เราไม่ปรารถนาให้เป็นประเด็นทางการเมืองเราอาจจะคุยกันจนถึงจุดที่สามารถนำเสนอ ซึ่งจะเป็นเวทีอย่างไรที่จะนำเสนอโดยไม่ให้ถูกดึงไปผิดวัตถุประสงค์ที่ทำกันคงจะต้องคิดกันอีกที ซึ่งเราก็ประมาณตัวเองได้ว่ากลุ่มพวกเราคงจะเป็นกลุ่มกันเล็กๆ แต่อาจจะมีข้อเสนอที่อาจจะถูกหยิบไปใช้ประโยชน์ได้เท่านั้นเอง

ดิฉันไม่อยากให้ไปเขียนว่า คุณหญิงสุดารัตน์ดึงดันเดินหน้าต่อ เพราะมันไม่ใช่การดึงดัน แต่เราคุยกันมาแล้ว ใครเห็นด้วยก็มาคุยต่อ ใครไม่เห็นด้วยก็ไม่ต้องมาคุย เราเข้าใจทุกฝ่าย เราคิดว่าวันนี้พอแล้วที่เราจะมานั่งจิกตีกัน เราต้องคุยกันได้โดยคุยกันบนผลประโยชน์ของส่วนรวม ไม่ใช่คนนั้นจะเอาแบบนั้น คนนี้จะเอาแบบนี้ มันก็เดินกันไม่ได้ สำหรับดิฉันเองไม่ต้องกังวลหรอก ดิฉันเข้าใจว่าพอเริ่มมีประเด็นทางการเมืองนักการเมืองด้วยกันย่อมกลัวว่า ดิฉันจะกลับเข้ามาในการเมือง

จะมาเป็นคู่แข่งหรือมาเป็นอะไร ดิฉันได้รับคืนสิทธิมาตั้งแต่ปี 2555 แต่ไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับรัฐบาล หรือลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่การมีนักการเมืองมาเวียนหามาคุยเป็นเรื่องธรรมดา ขอให้ทุกฝ่ายสบายใจเถอะว่าไม่ได้มีอะไร ถ้าพูดกันแล้วผู้มีอำนาจเห็นว่ามีประโยชน์แล้วรับไปทำก็รับ แต่ถ้าไม่รับไปทำเราก็ไม่ได้มีปัญญาที่จะไป

บังคับ

ขณะนี้มีบางพรรครอเทียบเชิญจากคุณหญิงในการพูดคุยอยู่

ดิฉันไม่ใช่แกนนำสักทีเดียว แต่เป็นการคุยกันของกลุ่มคนที่เห็นด้วย อย่าเรียกว่าเป็นการเทียบเชิญเลย เอาเป็นว่าท่านใดที่เห็นด้วยกันก็คงจะมาช่วยกันคิด และรับผิดชอบต่อ

ส่วนรวม

หลายคนไม่รู้ว่าจะเข้ามานั่งพูดคุยอย่างไร เพราะไม่มีแกนหลักในการดำเนินการ

อันนี้ยังไม่ได้หารือใคร ดิฉันคิดว่าถ้านักการเมืองกลัวเรื่องการชิงการนำ ก็เข้าใจได้ แต่ขอเรียนว่าดิฉันไม่ได้มีการคิดจะไปชิงการนำกับใคร ก็อาจจะให้คนกลางๆ เป็นสะพานให้กำลังคิดกันอยู่ และพยายามหารูปแบบไม่ให้คิดกันว่าเป็นการชิงการนำ เราก็ต้องแก้ปัญหา

มีอีกฝ่ายบอกว่าคุยกันลับๆ อยู่แล้ว

ทำไมจะต้องมาเปิดหน้าคุยกันอีกต้องเข้าใจที่มาที่ไป อย่าเมินที่มาที่ไปว่าเกิดจากการพูดในวงเสวนา ไม่ใช่ดิฉันไปนั่งโต๊ะแถลง หรือให้ข่าว และเราทำกันมาอยู่แล้ว

ตอนนี้มีใครตอบรับเข้าร่วมบ้างแล้ว

มีค่ะ เราคุยกันอยู่ ดิฉันขออนุญาตเก็บรายชื่อไว้ก่อนเพราะเกรงว่าจะเป็นทางการเมืองอีก แต่รูปแบบการพูดคุยยังไม่ได้คิด เพราะต้องระวังไม่ให้ฝ่ายที่คิดแต่ประเด็นการเมือง จับไปเป็นประเด็นการเมือง ไม่อย่างนั้นสิ่งดีๆ ที่เราตั้งใจจะเสียหายไป

ผู้มีอำนาจจับตาดูอยู่ในเรื่องของข้อกฎหมาย และการฝ่าฝืนคำสั่ง

ไม่หนักใจ เพราะคิดที่จะแก้ไขปัญหาให้ประเทศชาติ ไม่ใช่สร้างปัญหา ดังนั้นเราไม่ไปทำอะไรที่เป็นการฝืนกฎหมาย หรือเป็นปัญหาต่อประเทศ

มีหลายฝ่ายออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่า ที่คุณหญิงก้าวออกมาเคลื่อนไหวในช่วงนี้เพราะนายใหญ่เซ็นใบสั่งหรือใบผ่านทางให้แล้ว

ถ้าจะพูดให้เกิดความเสียหายพูดได้ทุกเรื่องเลยนะ ตั้งแต่บอกว่าที่ออกมาพูดเรื่องนี้เพราะอยากดัง หรือมาพูดเรื่องนี้เพราะมีใบสั่ง อยากให้กลับมาดูที่ความจริง ที่มาที่ไปชัดเจน นักข่าวก็ไปกันเต็มว่าเกิดขึ้นจากการเสวนา ดิฉันเจียมตัวและประมาณตัวเองเป็น ข้อเท็จจริงคือข้อเท็จจริง ข้อต่อมาคือ เท่าที่คุยกันมาแล้วนั้นเรามากันอย่างหลากหลาย นักการเมืองก็หลากหลาย เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะมาเจรจาเพื่อหาประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่ง และใครจะคิดอย่างนั้นคิดไปนะ แต่ดิฉันคนหนึ่งที่จะไม่คิดสั้นแบบนั้น การพูดให้เสียหายทางการเมืองพูดกันไปได้ทั้งนั้น แต่ต้องทำให้สังคมได้ทราบข้อมูล และถึงเวลาแล้วที่พรรคการเมือง และนักการเมืองต้องปฏิรูปตัวเอง และทุกฝ่ายก็ต้องปฏิรูปมันถึงจะเดินไปสู่การปฏิรูปประเทศได้ เพื่อให้มีประชาธิปไตยที่มีคุณภาพและคุณธรรม

ณ วันนี้ทางผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทยว่าอย่างไรบ้าง

ดิฉันเรียนแล้วว่า ทำโดยไม่ได้เกี่ยวกับพรรค จึงยังไม่ได้มีการคุยกับใครมากนัก คงจะได้มีการคุย และเสนอแนวทางในการปฏิรูปกัน

วันนี้พอข่าวออกมากล้องก็โฟกัสมาที่คุณหญิง หลายคนอยากรู้ว่าเส้นทางการเมืองของคุณหญิงจะเอาอย่างไรต่อ

ดิฉันเรียนว่าในฐานะที่เป็นอดีตนักการเมือง สำนึกรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น อะไรที่ดิฉันมีส่วนร่วมได้เช่นเรื่องนี้ที่ตรงกับวิทยานิพนธ์ของดิฉันพอดี ดิฉันก็ให้ความร่วมมือ อย่างที่เรียน ดิฉันได้รับคืนสิทธิตั้งแต่ปี 2555

จากนั้นก็มีการเลือกตั้ง มีการจัดตั้งรัฐบาล ดิฉันก็ไม่ได้เข้าไปร่วมใดๆ ดิฉันได้เรียนรู้สัจธรรมเมื่อครั้งที่แม่ดิฉันเสีย วันนี้จึงคิดว่าถ้ามีโอกาสในการทำงาน ดิฉันจะเอาธรรมะมาแก้ไขปัญหาโดยเฉพาะทางการเมือง

วันนี้เราจะคุยกันต่อ การแก้ไขปัญหาไม่ใช่แก้ด้วยการปฏิวัติ ปฏิวัติแล้วไม่เคยจบ เมื่อฉีกรัฐธรรมนูญก็ต้องเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะทำให้การแก้ไขปัญหาของประเทศยากขึ้นไปอีกในมุมมองของดิฉัน และจะทำให้การทำงานของผู้บริหารชุดต่อไปไม่ว่าจะเป็นใครก็แล้วแต่ทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาให้บ้านเมืองแทบจะไม่ได้ ขอยกตัวอย่างเรื่องอำนาจที่ทับซ้อนกัน โดยรัฐธรรมนูญนี้ออกแบบให้อำนาจตุลาการ และนิติบัญญัติโดย ส.ว. มาครอบฝ่ายบริหาร โดยไม่มีมาตรการตรวจสอบถ่วงดุล วันนี้สื่อขยายความเรื่อง “ซุปเปอร์บอร์ด” ในวงเสวนาของดิฉันผิด คือดิฉันได้เปรียบเทียบว่า พอเอาอำนาจตุลาการ และอำนาจนิติบัญญัติมาทับซ้อนกับอำนาจบริหารโดยปราศจากระบบตรวจสอบถ่วงดุล มันเหมือนกับเอามาลบล้างกันได้ โดยถ้าเปรียบให้เข้าใจก็จะเหมือนบริษัทหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์จะมีบอร์ดกับผู้บริหารที่แยกอำนาจกัน แต่ตรวจสอบถ่วงดุลกันได้ แต่พอเขียนรัฐธรรมนูญแบบนี้เหมือนกับบอร์ดและผู้บริหารมีอำนาจทับซ้อนกัน โดยบอร์ดจะมีอำนาจมากกว่าผู้บริหารอย่างมาก

ดิฉันจึงใช้คำว่า “ซุปเปอร์บอร์ด” ซึ่งเป็นการยกตัวอย่างเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงในรัฐธรรมนูญเขียนเรื่องนี้ และรัฐธรรมนูญฉบับนี้เขียนให้แก้ไขแทบไม่ได้ ก็เป็นความกังวลเท่านั้นเองว่าถ้ารัฐธรรมนูญนี้ประกาศใช้จะทำไม่ได้ ให้เกิดปัญหามากขึ้นกับประเทศหรือไม่

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image