พลันที่การอภิปรายนอกสภาโดย น.ส.พรรณิการ์ วานิช เผยแสดงออกมา ณ ศูนย์อนาคตใหม่ ฝั่งธนบุรี
สังคมก็บังเกิดอาการ ZATORI ทางการเมืองโดยพร้อมเพรียง
เป็นอาการ ZATORI ว่าเหตุใดจึงมีความจำเป็นต้องกำจัดและทำลายพรรคอนาคตใหม่ก่อนการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาและ 5 รัฐมนตรี
ในทางรูปแบบรัฐบาลสามารถสกัด ขัดขวางมิให้ “ตัวเป้ง” ของพรรคอนาคตใหม่ไปแสดงบทบาทในสภาผู้แทนราษฎรได้ แต่ในทางเป็นจริงก็มิอาจสกัดขัดขวางได้
นั่นก็เห็นได้จากบทบาทของ น.ส.พรรณิการ์ วานิช ที่ส่งผลสะเทือนกว้างไกลในลักษณะทางสากล
นัยแห่ง”พันธมิตรมืด”ได้รับการแพร่กระจายยิ่งกว่า”ไวรัส”
ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าในยุคที่ยังเป็น”พรรคอนาคตใหม่” ไม่ว่าในยุคที่ผันตนเองมาเป็น “คณะอนาคตใหม่” ได้มีการตระเตรียมอย่างเป็นระ บบ เป็นกระบวนการ
เริ่มจากที่เรียกในศัพท์ทางเทคนิคว่า TEESER ปล่อยตัวอย่างเหมือนเป็นการยั่วน้ำลาย
แล้วจึงเริ่มเข้าสู่การอภิปราย”นอกสภา” ยาวเหยียด
ขณะเดียวกัน ก็ประมวลและประสานเข้ากับการเสนอบทรายงาน พิเศษ เรื่องราวอันเกี่ยวกับ 1MDB อย่างเป็นมืออาชีพ LAUNCE ออกมาได้อย่างทันกับสถานการณ์
เท่ากับเป็นการเบิกโรงเรียกแขกก่อนญัตติอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ เท่ากับเป็นการเร้ายั่วความ สนใจอย่างกว้างขวาง
สื่อทั่วโลกขานรับ ประโคมข่าว อึกทึก ครึกโครม
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า กระบวนการตระเตรียมตาม โพรเจ็กค์ พิน็อคคิโอ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 มิได้เป็นเรื่องของมือสมัครเล่น ตรงกันข้าม เป็นมืออาชีพ
ทั้งยังเป็น “มืออาชีพ” ในระดับ “อินเตอร์”
ความหวาดกลัวจากรัฐบาล ความหวาดกลัวจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และบริษัทบริวารต่อพรรคอนาคตใหม่จึงมีเหตุผล
แต่เป็นเหตุผลถึงขนาดลงทุนทำทุกอย่างเพื่อนำไปสู่การยุบพรรค หรือไม่ยังคงเป็นคำถาม
คำถามว่าคุ้มค่ากับการทุ่มเททุกเรี่ยวแรงจริงหรือไม่