เห็นลีลาไม่ว่าจะ นายเสรี สุวรรณภานนท์ ไม่ว่าจะ นายวันชัย สอน
ศิริ ที่ถล่มเข้าใส่ นายอลงกรณ์ พลบุตร แล้ว
แฟนานุแฟน ซู้ดปากกันซี้ดซ้าด
เหมือนกับ 1 จะเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ต่อบทบาทของ นายอลงกรณ์ พลบุตร
แต่แท้จริงแล้ว ไป”ไกล” กว่านั้น
เพราะในที่สุดแล้ว 1 เท่ากับเป็นการ”สอนมวย” นายทินพันธุ์ นาคะตะ มากกว่า
น้ำเสียงคล้ายกับจะเห็นใจและเข้าใจ
แต่ลองหยิบมาสังเคราะห์ วิเคราะห์ บนเตียงผ่าตัดอย่างจริงจังก็จะประจักษ์
ประจักษ์ว่าโดน “ฟาดเรียบ”
นายอลงกรณ์ พลบุตร ซึ่งคร่ำหวอดในการเมืองอาจรักษาอา การได้อยู่
แต่ที่น่าสงสาร คือ นายทินพันธุ์ นาคะตะ
ถึงกับ”หลั่งน้ำตา”อย่างโศกาและ”อาดูร”
ที่ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ถูกต้อนรับก่อนหน้านี้ถือว่าธรรมดาอย่างปกติยิ่ง
เพราะ นายทินพันธ์ นาคะตะ หนักกว่า
ยิ่ง นายอลงกรณ์ พลบุตร ยิ่งถึงขั้นสรุปว่าเป็น “หมอหยอง ทางการเมือง”
ฟังแล้วต้อง”ขนลุก” โดยพลัน
ขนลุกเพราะว่าหาก”ร่างรัฐธรรมนูญ”ฉบับ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ผ่านประชามติพร้อมกับ “คำถามพ่วง”
นายเสรี สุวรรณภานนท์ มาแน่
นายวันชัย สอนศิริ มาแน่ ยิ่งกว่า “แช่แป้ง”
ถามว่าความมั่นใจที่ว่า นายเสรี สุวรรณภานนท์ และ นายวันชัย สอนศิริ มาแน่มาจากอะไร
มาจากบทบัญญัติว่าด้วยที่มา”สมาชิกวุฒิสภา”
รัฐธรรมนูญพม่ากำหนดไว้เพียงร้อยละ 25 ของจำนวนสมาชิกรัฐสภาทั้งหมด
ของ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ปาเข้าไป 250 จาก 750
ยิ่งกว่านั้น หาก “คำถามพ่วง” อันมาจากสปท.และจากสนช.ผ่านประชามติ
นั่นเท่ากับกำหนดไว้แล้วว่าใครคือ “นายกรัฐมนตรี”
ภาพของรัฐสภาในอนาคตต้องเป็นรัฐสภาที่พับเพียบ เรียบร้อยอย่างไม่ต้องสงสัย
เพราะขนาด นายอลงกรณ์ พลบุตร ยังทนกันไม่ได้
จำเป็นต้องมีคนอย่าง นายเสรี สุวรรณภานนท์ คนอย่าง นาย วันชัย สอนศิริ เท่านั้น
มาพร้อมกับ “ศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อย”
มาพร้อมกับ “กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย”
นายอลงกรณ์ พลบุตร จำเป็นต้อง”ชิดซ้าย”โดยอัตโนมัติ
