ไม่ว่าความคิด ที่จะเอาพรบ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.๒๕๕๑ มาขยายผลจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-๑๙ ไปสกัดการขยายตัวของ FLASH MOB
ไม่ว่าการออกมาเรียกร้องให้เรียกนักศึกษาเข้าไปร่วมหารือในรัฐสภา ไม่ว่าการออกมาเตือนนักศึกษาให้ระวังการปลุกปั่น
คืออาการตื่นตระหนก คือการยอมรับในการเติบใหญ่ขยายตัวของ FLASH MOB อันเนื่องจากความไม่พอใจต่อรัฐบาลโดยมีกรณียุบพรรคอนาคตใหม่เป็นฟางเส้นสุดท้าย
เป้าหมายก็เพื่อจะยุติการแพร่ระบาดของ FLASH MOB เป้าหมายก็เพื่อจะสลายการชุมนุม มิให้กรณีนี้ลามไปถึงนักเรียน มิให้เกิดขึ้นในขอบเขตทั่วประเทศ
เหมือนกับเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม เท่ากับเป็นการชะงักปัญหา
กระนั้น ไม่ว่าจะมองจากนักการทหาร ไม่ว่าจะมองจากนักการเมือง ไม่ว่าจะมองจากนักการตลาด ยากเป็นอย่างยิ่งที่จะสกัดขัดขวางการ เติบใหญ่ขยายตัวของ FLASH MOB
คล้ายกับปรากฏการณ์ครั้งนี้มีจุดเริ่มจากการสั่งยุบพรรคอนาคต ใหม่จึงกระทบความรู้สึกของคนรุ่นใหม่
อาจเป็นเช่นนั้น แต่หากติดตาม FLASH MOB ต่อเนื่อง ก็จะสัมผัสได้ว่าทั้งหมดนี้เป็นปัญหาในลักษณะสะสม เป็นปัญหาระหว่าง เผด็จการกับประชาธิปไตย
เป็นปัญหาอันมองได้ตั้งแต่รัฐธรรมนูญที่มีเป้าหมายเพื่อการสืบทอดอำนาจ การเลือกตั้งที่ใช้อภินิหารของกฎหมายเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการเมือง
และที่สุดทุกนิ้วที่อยู่ใน FLASH MOB ก็ชี้ไปยังรัฐบาล ชี้ไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ชี้ไปยังการรัฐประหาร
ความขัดแย้ง “หลัก” ที่ดำรงอยู่ในสังคมในห้วง ๑ สัปดาห์สุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์ กับ สัปดาห์แรกของเดือนมีนาคม จึงเป็นความขัดแย้งอันมีต้นตออยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งอยู่ในฐานะคนแก้ปัญหาจะยอมรับในสภาพความขัดแย้ง “หลัก” นี้หรือไม่
ความคิดในการจะเอาพรบ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.๒๕๕๑ มาใช้มิใช่เพื่อแก้ปัญหา หากแต่เป็นการตัดปัญหาและไม่ยอมรับปัญหา
ในที่สุดก็จะกลายเป็น “ชนวน” นำไปสู่ความรุนแรงที่เลวร้ายขึ้น