ไม่ว่าแถลงจากสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ไม่ว่าแถลง จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) การันตีว่าการชุมนุมในสถาบันการศึกษาเป็นสิทธิและเสรีภาพ ไม่ละเมิดกฎหมาย
ชัดเจน แจ่มแจ้ง
เท่ากับฉายให้เห็นว่า การไปปรากฏของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการชุมนุมของนักศึกษาที่ปทุมธานี พร้อมกับขอตรวจบัตรประจำตัวของ นักศึกษาเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
ยิ่งการเข้าจับกุมและโยนข้อหานักศึกษาที่จันทบุรีว่ากระทำความผิดพรบ.ชุมนุมในที่สาธารณะและปรับเป็นเงินจำนวนหนึ่งนั้นยิ่งไม่ถูกต้อง
ไม่ถูกต้องกับบรรทัดฐานอันมาจากสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ บรรทัดฐานอันมาจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ถามว่าแถลงอันมาจากสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ แถลงอันมาจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เท่ากับเป็นการเปิด”ไฟเขียว”ให้กับการชุมนุมของ นักเรียน นิสิต นักศึกษา หรือไม่
มิได้เป็นเช่นนั้น
เพราะนี่คือความเป็นจริงอันดำรงอยู่แล้วในพรบ.การชุมนุมในที่สาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การชุมนุมเพื่อแสดงสิทธิและเสรีภาพของนักเรียน นิสิต นักศึกษา
ไม่เพียงแต่ดำรงอยู่ในรัฐธรรมนูญ หากแต่พรบ.การชุมนุมในที่สาธารณะก็เปิดกว้าง
บรรทัดฐานนี้ย่อมครอบคลุมไปถึงโรงเรียน ไม่ว่าจะที่สวนกุหลาบวิทยาลัย ไม่ว่าจะที่สตรีวิทยา ไม่ว่าจะทีบดินทรเดชา ไม่ว่าจะที่ศึกษานารี
นี่คือบรรทัดฐานอันเป็นพื้นฐานแห่งความเป็นประชาธิปไตย
หากถามว่าทั้งๆที่รัฐธรรมนูญให้สิทธิและเสรีภาพ ทั้งๆที่พรบ.การชุม นุมในที่สาธารณะเปิดช่องให้อย่างเต็มที่ แล้วเหตุใดจึงมีการสกัดและขัดขวางเกิดขึ้น
คำตอบ 1 เป็นความเคยชิน คิดว่าห้ามได้ก็ห้าม
คำตอบ 1 เป็นความต่อเนื่องจากสถานการณ์รัฐประหารที่มีอำ นาจพิเศษโดยประกาศ คำสั่งของคสช.โดยอำนาจของมาตรา 44 เปิดทางให้
ความเคยชินและความต่อเนื่องนี้จึงยังดำรงอยู่แม้จะผ่านการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2562 มาแล้ว
เหล่านี้คือการดำรงอยู่ของ “โรคร้าย”
โรคร้ายอันเป็นผลพวงแห่ง “รัฐประหาร” โรคร้ายอันเป็นพิษภัยแห่งระบอบ “เผด็จการ”