ประธาน ครป. เตือน ‘บิ๊กตู่’ ปรับครม. เหมือนกินยาแก้หวัดรักษาโควิด-19

ปรับครม. -เมื่อวันที่ 4 มีนาคม คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) จัดงานอภิปรายข้อเสนอทิศทางการเมืองไทย หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล โดยมี รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ประธาน ครป. นายสมชาย หอมลออ ที่ปรึกษา ครป. นายกษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายเมธา มาสขาว เลขาธิการ ครป. ร่วมอภิปราย

ในตอนหนึ่ง รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ประธาน ครป. กล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมาสะท้อนภาพความแตกแยกที่ยังไม่คลี่คลายของสังคมไทย ระหว่างพลังอนุรักษ์อำนาจนิยมกับพลังเสรีนิยมประชาธิปไตย และยังลุกลามมาสู่ความขัดแย้งนอกสภา การที่ ส.ว. และส.ส.พรรคพลังประชารัฐยังอยู่ภายใต้อำนาจของกลุ่มเดียวกัน ทำให้ทุกอย่างจึงถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าตามความต้องการของผู้มีอำนาจ ทำให้ ส.ส.ไม่มีเจตจำนงเสรีซึ่งทำลายภาพลักษณ์ที่ดีของระบอบรัฐสภา ขณะที่เรามีรัฐสภาใหม่ นักการเมืองต้องมีการปรับตัวและควรมีพฤติกรรมใหม่ ไม่ให้เสียภาพลักษณ์ แต่ ส.ส.และพรรคการเมืองไม่มีการปรับตัว เช่น การขายตัว การซื้อตัว ทำให้ภาพลักษณ์ของสภายิ่งแย่ลง เป็นพฤติกรรมดาราลิเกหลงยุค และการประท้วงในยุคนี้ไม่น่าจะมี วันแรกประท้วงเกือบ ๒๐ ครั้ง มันน่าคลื่นไส้ ไม่น่ามีในยุคนี้ และในการอภิปรายมีการเล่นเกมกันจนไม่สนใจหลักการ การที่ฝ่ายค้านมีการติดต่อฝ่ายรัฐบาล เพิ่งเคยเห็นครั้งแรกในการเมืองไทย และทำให้การอภิปรายไม่จบ ทำให้เกิดความอัปยศในสภาแห่งแรกที่เพิ่งเปิดใช้ การเปิดดีลกับรัฐบาลจนคุมการอภิปรายอะไรไม่ได้ ถือว่านักการเมืองละเลยสำนึกในพันธกิจของตนเอง จึงต้องแก้พฤติกรรมกอบกู้ภาพลักษณ์ของสภา และป้องกันการเปลี่ยนแปลงล้มล้างระบบรัฐสภา เพราะหากเป็นเช่นนี้ก็ทำให้เสื่อมทรุดจนเกิดการล้มล้างดังเช่นที่ผ่านมา

ปัจจุบันรัฐบาลกำลังสูญเสียความชอบธรรม พรรคฝ่ายค้านก็อ่อนแอลงอย่างชัดเจน องค์กรอิสระแทบทุกองค์กรความน่าเชื่อถือลดลงเรื่อยๆ ขณะที่การเมืองนอกสภาจะเข้มขึ้นเรื่อยๆ ทิศทางของสังคมไทยจึงมีแค่ 3 ทิศทางหลักคือ 1.รัฐบาลไม่แก้ไขปัญหา เร่งความขัดแย้งให้เร็วขึ้น 2. คลายปมความขัดแย้งลงระดับหนึ่งและยืดเวลาออกไป 3. แก้ปมที่เป็นสาเหตุของความขัดแย้ง

Advertisement

แต่รัฐบาลกำลังเดินใกล้ตกหน้าผา เริ่มจากการอภิปรายโดยรัฐมนตรีบางคนเคยติดคุกในต่างประเทศมีชื่อเสียงอื้อฉาวระดับโลก แต่รัฐบาลยังไม่ทำอะไรเลย ปล่อยให้มีบุคคลเช่นนี้อยู่โดยไม่เปลี่ยนแปลงอะไร กองเชียร์รัฐบาลก็ไม่กดดันรัฐบาลของตนเองแต่อย่างใด ภาพลักษณ์ของรัฐบาลยิ่งเสื่อมทรุด รัฐบาลมุงหน้าไปสู่วิกฤตความชอบธรรม ขณะที่นักศึกษาอยากได้เสรีนิยมประชาธิปไตย อยากได้รัฐธรรมนูญและการมีส่วนร่วม แต่ชนชั้นนั้นนำอยากได้ประชาธิปไตยแบบอำนาจนิยม

“ผมอยากเตือนพล.อ.ประยุทธ์ ว่า ความรุนแรงมันเกิดขึ้นจากที่รัฐบาลคุมคนของตนเองไม่ได้แล้วปล่อยให้มีการสร้างความเกลียดชัง รัฐบาลต้องดูแลตรงนี้ให้ดี ไม่งั้นจะเกิดความรุนแรงขนานใหญ่ การปรับครม.ก็เหมือนการกินยาพาราแก้โรคไวรัสโควิด 19 มันแก้ปัญหาไม่ได้ แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วทำให้เสร็จภายใน 2 เดือน โดยเปิดให้ทุกฝ่ายมาร่วมกันแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็จะแก้ไขปัญหาการต่อต้านรัฐบาลได้ อยู่ที่ว่า รัฐบาลจะเลือกอยู่กับกลุ่มทุนผูกขาดประเทศไทย หรือจะเลือกอนาคตของลูกหลานไทย” รศ.ดร.พิชาย กล่าว

Advertisement

เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่เพิ่มเพื่อน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image