‘กษิต ภิรมย์’ อัด อภิปรายปาหี่ไม่มีที่ไหนในโลก ชี้ทิศทางไทยมืดมน

 

เมื่อวันที่ 4 มีนาคม คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) จัดงานอภิปรายข้อเสนอทิศทางการเมืองไทย หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล โดยมี รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ประธาน ครป. นายสมชาย หอมลออ ที่ปรึกษา ครป. นายกษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายเมธา มาสขาว เลขาธิการ ครป. ร่วมอภิปราย

ในตอนหนึ่ง นายกษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ปัจจุบันเกิดความแตกแยกภายในสังคมไทยแต่รัฐบาลก็ไม่สนใจเรื่องการปรองดองสมานฉันท์ เพราะรัฐบาลไร้ความสามารถในการแก้ไขปัญหา การปรองดอง

ส่วนการอภิปรายที่ผ่านมา เป็นการอภิปรายปาหี่ เพราะเมื่ออภิปรายไม่ได้แล้วไปลงมติไม่ไว้วางใจได้อย่างไร ไม่มีที่ไหนในโลก และฝ่ายค้านไม่ได้เตรียมตัวมาอภิปรายอย่างมีประสิทธิภาพ จึงอภิปรายซ้อนกันอยู่และดูเหมือนฮั้วกัน ทำให้ไทยสูญเสียงบประมาณจำนวนมาก ถือเป็นการหลอกลวงประชาชนที่คาดหวังการเมืองการปกครองในระบบประชาธิปไตย ส.ส.ทุกคนไม่ให้ความเคารพต่อประชาชนคนไทยแม้แต่นิด ไม่ให้เกียรติประชาชน

Advertisement

“สำหรับทิศทางประเทศไทย เศรษฐกิจไทยเราตกต่ำมาก ไม่สามารถพัฒนาไปสู่นวัตกรรมและเทคโนโลยี 4.0 ได้ โครงการอีอีซีและนโยบายต่างๆ ล้มเหลว เพราะตอบสนองแค่บริษัทก่อสร้างและทุนผูกขาด ล้มเหลวอย่างต่อเนื่องของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ 1 ถึง 2 เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำมากมาย การเข้าถึงคุณภาพชีวิตแรงงานและสาธารณสุขต่างกัน ทิศทางของประเทศไทยจึงค่อนข้างมืดมน น่าเสียใจที่ความสามารถของพล.อ.ประยุทธ์คือไม่ฟังใครเลย ฟังอยู่ไม่กี่คน ท่านรังเกียจนักการเมืองแบบเก่าแต่ก็ดึงนักการเมืองแบบเก่ามาเป็นรัฐบาลร่วมกันในนามพรรคพลังประชารัฐ ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลจะต้องหันมาฟังประชาชนให้มากขึ้น” นายกษิตกล่าว

นายเมธา มาสขาว เลขาธิการ ครป. กล่าวว่า ตนเองรู้สึกผิดหวังกับการอภิปรายปาหี่ที่ผ่านมา เมื่อพรรคฝ่ายค้านบางพรรคฮั่วกับรัฐบาลแลกประโยชน์ในบางคดีและงบประมาณที่เข้ามาในพรรคการเมือง ตนคิดว่ารัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ เหลือเวลาอยู่ไม่มากแล้ว ดังนั้นจึงต้องหาทางลงจากหลังเสือให้ดีที่สุด โดยการประกาศแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 และแก้ไขปัญหาความขัดแย้งเพื่อการปรองดอง หยุดปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร ปฏิรูปกองทัพและหยุดยั้งทุนผูกขาดกินรวบประเทศไทย

“รัฐบาลจะต้องปรับ ครม.ใหม่ รวมถึงตัวนายกรัฐมนตรี หากหาในบัญชีรายชื่อพรรคการเมืองใน 3 พรรคที่เหลือไม่ได้ คือพรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเพื่อไทย ตามเงื่อนไขรัฐธรรมนูญ ก็ยังมีก๊อกสองคือใช้เสียงสองในสามในสภาโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนนอกที่เหมาะสมมาทำหน้าที่เฉพาะกาล ประกาศแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วยุบสภาเลือกตั้งใหม่ตามเงื่อนไขรัฐธรรมนูญใหม่ เพราะหากนายกรัฐมนตรีไม่ลาออก ก็ไม่สามารถมีความไว้วางใจในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้” นายเมธากล่าว

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image