ภาคีนักกิจกรรม ม.รามฯ บายศรีสู่ขวัญให้กำลังใจ 7 นักศึกษาถูกคุมขัง เหตุทำกิจกรรมรณรงค์ประชามติ

เมื่อวันที่ 8 กรกฏาคม เวลา 14.00 น. ที่ลานกิจกรรมนักศึกษา อาคารกิจกรรมนักศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง กลุ่มภาคีนักกิจกรรมเพื่อสังคมมหาวิทยาลัยรามคำแหง จัดกิจกรรม “บายศรีสู่ขวัญ ในวันเพื่อนเรากลับบ้าน” เพื่อเป็นการให้กำลังใจแก่ 7 นักศึกษาที่ถูกเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมและนำตัวไปคุมขังขณะที่ทำกิจกรรมรณรงค์ประชามติร่างรัฐธรรมนูญที่ย่านนิคมบางพลี

ทั้งนี้ นักศึกษาทั้ง 7 คน ได้แก่ 1.นายยุทธนา ดาศรี 2.นายธีรยุทธ นาขนานรำ 3.นายอนันต์ โลเกตุ 4.นายสมสกุล ทองสุกใส 5.นายกรกช แสงเย็นพันธ์ 6.นายนันทพงศ์ ปานมาศ 7.นายรังสิมันต์ โรม ต่างเข้าร่วมงานกันอย่างพร้อมเพรียง ท่ามกลางศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยรามคำแหง นักศึกษา และประชาชน ที่เข้าร่วมกิจกรรมกันเป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้ นายรังสิมันต์ โรม กล่าวว่า ขณะที่ตนอยู่ในเรือนจำได้มีโอกาสพูดคุยกับเพื่อนนักโทษหลายคน ซึ่งส่วนมากมักจะรู้สึกแปลกประหลาดใจที่ไม่ยอมประกันตัวทั้งที่มีโอกาส จึงได้อธิบายถึงเหตุผลที่ไม่ยอมประกันตัวว่า เป็นเพราะพวกเราเชื่อว่าเราไม่ได้กระทำผิดกฎหมาย และยืนยันสู้ต่อภายในเรือนจำจนกว่าจะได้รับความยุติธรรม

“พวกเราต่างต้องการอิสรภาพ แต่การออกไปนั้นไม่ได้เป็นอิสรภาพอย่างแท้จริง จนกว่าจะได้รับความยุติธรรม เพราะสิ่งที่เราทำในวันนั้นคือการออกไปรณรงค์ให้ผู้คนไปใช้สิทธิเสียงในการทำประชามติ แม้ว่าพวกเราจะพูดอย่างไรก็ไม่ได้มีอำนาจที่จะสามารถไปบังคับให้ใครไปออกเสียงตามที่เราคิดได้ ซึ่งการรณรงค์ก็เพราะผลกระทบของรัฐธรรมนูญไม่ได้มีผลผูกพันเพียงชั่วคราว แต่มีผลกระทบต่อเนื่องยาวนาน 5-10 ปี พวกเราต่างใช้สิทธิเสียงในการออกไปอธิบายในสิ่งเหล่านี้้ ” นายรังสิมันต์กล่าว

Advertisement

นายรังสิมันต์กล่าวอีกว่า ขอยืนยันว่าพวกเราทั้ง 7 คนบริสุทธิ์ เราไม่เคยกระทำผิด เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่บางพลี เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารเองก็ไม่สามารถตอบได้ว่าจับเราไปเพราะอะไร จนถึงวันนี้ แม้ว่าเราจะมีเสรีภาพทางร่างกาย แต่เสรีภาพทางจิตใจของเรายังคงถูกคุมขังอยู่ จนกว่าจะได้รับความยุติธรรม การจัดงานในวันนี้จึงถือเป็นการเยี่ยมเยียนจิตใจของเราซึ่งยังคงอยู่ในห้องขัง

ด้านนายนันทพงศ์ ปานมาศ กล่าวว่า ขอขอบคุณพี่ๆ ศิษย์เก่าที่มาร่วมงาน รวมไปถึงผู้บริหารที่อนุญาตให้จัดกิจกรรมในวันนี้ ความจริงพวกเราไม่มีใครอยากที่จะติดคุก แต่เรากลับถูกเจ้าหน้าที่เข้ามาจับกุมทั้งที่ออกไปรณรงค์ให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิเสียงของตนเอง ซึ่งตลอดเวลาที่อยู่ในคุก เราต่างได้ยืนยันถึงความบริสุทธิ์ใจและไม่ได้กระทำผิด

“พวกเราต่างยืนยันว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจะไม่มีวันประกันตัวโดยเด็ดขาด รวมถึงยังได้มีการวางแผนกันไว้ว่า หากยังไม่ได้รับการปล่อยตัวจะทำการอดอาหารเพื่อพิสูจน์ว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิด และต้องการความยุติธรรม เนื่องจากเราได้ทำตามสิทธิขั้นพื้นฐาน ถ้าสิทธิแค่นี้รัฐไม่สามารถที่จะให้เราได้ ก็ไม่ควรที่จะอยู่ปกครองอีกต่อไป ขณะนี้สังคมไทยมีสองทางเลือกคือ ต้องเลือกระหว่างเผด็จการกับประชาธิปไตย” นายนันทพงศ์ กล่าว

Advertisement

ด้านนายชูวัส ฤกษ์ศิริสุข ในฐานะตัวแทนศิษย์เก่าและตัวแทนเครือข่ายพฤษภา 35 ได้กล่าวว่า นักศึกษากลุ่มนี้ได้ออกมาเรียกร้องและต่อสู้บาดแผลที่คนรุ่นเราไม่สามารถสะสางได้ ในปี พ.ศ.2535 เราต่างได้ปักหมุดพยายามเรียกร้องให้มีนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง แต่แล้วก็มีการแทรกแซงโดยการรัฐประหารในปี 2549 และ 2557 ในที่สุด

“ขอชื่นชมว่าน้องๆ กล้าหาญมาก ในขณะที่คนรุ่นเราหลายคน บางคนต่างรู้สึกพ่ายแพ้และหมดกำลังใจ แต่นักศึกษากลุ่มนี้กลับออกมาเรียกร้อง เรียกจิตวิญญาณของคนรามคำแหง อันเป็นฐานที่มั่นสุดท้ายที่ทำให้ฝ่ายประชาธิปไตยสามารถเอาชนะได้ในเหตุการณ์ปี พ.ศ. 2535 ซึ่งหลังจากนี้ก็ขอเป็นกำลังใจให้กลุ่มนักศึกษาที่จะก้าวต่อไปในอนาคต” นายชูวัสกล่าว

นายปกรณ์ อารีย์กุล ตัวแทนจากขบวนการประชาธิปไตยใหม่ กล่าวว่า ทุกวันนี้กลุ่มคนที่ออกมาเคลื่อนไหวทางสังคมทุกคนควรที่จะออกมาร่วมกันต่อสู้กับสิ่งที่ไม่ถูกต้องที่เกิดขึ้นในสังคม เพราะเราต่างอยู่ฝ่ายเดียวกัน นั่นคือฝ่ายประชาชน

“พวกเราไม่สามารถที่จะทำให้ประชาชนคนไทยทั้ง 70 ล้านคนมีความคิดเห็นที่เหมือนกันได้ แต่การปฏิบัติกับมนุษย์ การไม่ให้สิทธิเสียงของผู้คนในการออกมาพูดในสิ่งที่เขาเชื่อ สิ่งที่เขาคิด ยืนยันในสิ่งที่เขารู้สึกนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ เราต่างต้องออกมาต่อสู้กับสิ่งเหล่านี้” นายปกรณ์กล่าวและว่า อิสรภาพที่แท้จริงคือวันที่ 7 สิงหาคม จึงอยากให้ประชาชนออกมาตัดสินใจร่วมกัน

จากนั้นได้มีการจัดกิจกรรมบายศรีสู่ขวัญให้แก่นักศึกษาทั้ง 7 คน พร้อมกับมอบดอกกุหลาบสีแดงให้กำลังใจแก่กลุ่มนักศึกษาทั้ง 7 คน ซึ่งหลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรมบายศรีสู่ขวัญ นักศึกษาทั้ง 7 คนได้ลุกขึ้นยืนชูมือและร่วมกันร้องเพลงแสงดาวแห่งศรัทธา ก่อนที่จะเสร็จสิ้นกิจกรรม

ทั้งนี้ นายรังสิมันต์ได้ให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนหลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรมอีกว่า การถูกจับกุมทั้งในปีนี้และปีที่ผ่านมาเป็นการแสดงให้เห็นว่าเราย่ำอยู่กับที่ อีกทั้งเราถูกจับกุมโดยไม่มีหมายจับ เป็นการจับกุมที่ไม่เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย เป็นเหมือนการอุ้มมากกว่า ทั้งที่รัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ย้ำว่าต้องเคารพกฎหมายหลายต่อหลายครั้ง

“การทำประชามติที่ถูกต้องควรปล่อยให้คนออกมาพูด ออกมาถกเถียงกัน การที่เรารณรงค์ให้คนออกมาใช้สิทธิถือว่าเป็นผลดีต่อการทำประชามติด้วยซ้ำ คือให้ประชาชนได้มีสิทธิได้ถกเถียง ได้ตัดสินใจ เพราะขนาดการทำประชามติในต่างประเทศอย่างกรณีเบร็กซิท ประชาชนกลุ่มหนึ่งที่นั่นยังรู้สึกว่าได้รับข้อมูลที่ไม่เพียงพอเลย และรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ออกไปใช้สิทธิ ในขณะที่การทำประชามติที่ประเทศไทย หลายคนยังไม่รู้ข้อมูลต่างๆ เลยแม้แต่น้อย” นายรังสิมันต์กล่าว

นายรังสิมันต์กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่มีการพูดถึงเอกสารที่ทางกลุ่มว่าเป็นการบิดเบือน และเป็นข้อความอันเป็นเท็จต่อรัฐธรรมนูญนั้น ความจริงเป็นเอกสารแย้งกับสิ่งที่ กรธ.พูด ซึ่งมักพยายามเชิญชวนให้คนไปรับร่าง แม้ว่าจะไม่ได้พูดตรงๆ แต่ก็อธิบายเพียงแต่ข้อดีของรัฐธรรมนูญเพียงด้านเดียว

“เราเพียงบอกว่าสิ่งที่ กรธ.พูดไม่เป็นความจริง ดังนั้น มันจึงเป็นการถกเถียงกันด้านวิชาการ และเราเองก็มีสิทธิที่จะนำเสนอข้อมูลของรัฐธรรมนูญอีกด้านได้เช่นกัน ซึ่งทางขบวนการประชาธิปไตยใหม่ยืนยันว่าพร้อมดีเบตกับทาง กรธ.อยู่เสมอ โดยให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ ไม่ใช่ กรธ. พยายามหลบเลี่ยงไม่ดีเบต และออกไปพูดฝ่ายเดียวว่าเราพูดความเท็จ ซึ่งมันไม่แฟร์” นายรังสิมันต์กล่าว

ด้านนายปกรณ์กล่าวถึงกรณีเดียวกันว่า เอกสารฉบับนี้แจกไปเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว ซึ่งเป็นเอกสารชุดเดียวที่แจกให้กับอาจารย์มีชัยด้วย หากมีความผิดจริงก็น่าจะมีการแจ้งความดำเนินคดีกันไปนานแล้ว จึงอยากเรียนอาจารย์มีชัยซึ่งถือว่าเป็นผู้ใหญ่ว่าอยากให้เปิดกว้าง เพราะถ้าการไม่เห็นด้วยถือว่าเป็นเรื่องเท็จ ก็ยิ่งเป็นการซ้ำเติมว่าการทำประชามติในครั้งนี้ไม่เป็นธรรม

 

13639765_1751516731727827_656618386_o

13647137_1751516671727833_1963362629_o

13639848_1751516668394500_1865730849_o

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image