ไม่ว่าข้อเสนอให้เปิดการประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ รัฐบาลก็ไม่ได้สนใจ ไม่ว่าข้อเสนอให้จัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ รัฐบาลก็ไม่ได้สนใจ
ดังที่รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญแถลง
อ้างเหตุผลและความชอบธรรมของ ส.ส.และ ส.ว.ซึ่งมีเอกสิทธิ์ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อ้างเหตุผลว่าการประชุมรัฐสภาจะขัดแย้งกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ของรัฐบาล
สะท้อนให้เห็นว่าความสนใจด้านหลักของรัฐบาลอยู่ที่การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เท่ากับอนาคตของรัฐบาล อนาคตของประเทศอยู่ที่สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 อย่างเป็นด้านหลัก
“เดิมพัน” ของรัฐบาลจึงอยู่ที่ “ไวรัสโควิด-19”
เด่นชัดมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับว่าสถานการณ์ของไวรัสโควิด-19 จะชี้ทิศทางในอนาคตไม่เพียงแต่ของประเทศ หากที่สำคัญเป็นอย่างมาก คืออนาคตของรัฐบาล
เด่นชัดมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับว่าความร้ายแรงของไวรัสโควิด-19 จะดำเนินไปในลักษณะอันเป็นปัจจัยชี้ขาดแนวโน้มของสังคมไทย
ชี้ขาดประสิทธิภาพของ “รัฐไทย” ว่ามีมากน้อยเพียงใด
คำว่า “รัฐไทย” ให้ความหมายอันสะท้อนถึงโครงสร้างและลักษณะสำคัญแห่งการดำรงอยู่ของระบอบซึ่งสะท้อนผ่านกระบวนการบริหารจัดการผ่านรัฐบาล
ไม่ว่ารัฐบาลนั้นจะมี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ว่ารัฐบาลนั้นจะมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ตาม
ความสำเร็จ ความล้มเหลวจึงอยู่ที่ปราบ “โควิด-19” ได้หรือไม่
หาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สามารถใช้โครงสร้างของระบบที่มีอยู่ในมือและที่สร้างความเข้มแข็งจากอำนาจรัฐประหาร ตีฝ่ามรสุมของโควิด-19 ไปได้อย่างมีชัย
นั่นหมายถึงประชาชนไทยได้รับอันตรายจากการแพร่ระบาดน้อยที่สุดและเดินหน้าต่อไปได้อย่างองอาจสง่างาม
เท่ากับยืนยันว่า “ระบอบ” ที่มีอยู่เข้มแข็ง ทรงประสิทธิภาพ
ขณะเดียวกัน หากยิ่งบริหารจัดการยิ่งมากด้วยปัญหา ยิ่งล้มเหลว นั่นเท่ากับยืนยันว่า “ระบอบ” มีความอ่อนแอ พ้นสมัย
นี่มิใช่เดิมพันเฉพาะ “ประยุทธ์” หากแต่เดิมพันทั้ง “ระบอบ”