หากดูจากแนวโน้มที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะยืนระยะวันละ 30 ราย หากดูจากแนวโน้มการแพร่กระจายออกไปยังต่างจังหวัดไม่ว่าจะที่ลพบุรี นครราชสีมา เลยและนครศรีธรรมราช
เด่นชัดยิ่งว่า ในที่สุด มาตรการเข้มถึงระดับ”ปิดเมือง”ในแบบของ บุรีรัมย์และอุทัยธานี อาจกลายเป็น “ทางเลือก”
แม้ว่าการยกระดับจาก 1 ไปยัง 2 และลังเลว่าจะยกระดับไปสู่ระดับ 3 ตามข้อเรียกร้องอันมาจากองค์การอนามัยโลกดีหรือไม่ เพื่อยืนหยัดเอกลักษณ์แบบ”ไทย-ไทย”
แต่สภาพความเป็นจริงที่รุกเร้ามาโดยรอบจะเรียกร้องให้รัฐบาลจำเป็นต้องตัดสินใจ เป็นสภาพความเป็นจริงที่ไม่สามารถหยุดยั้งการแพร่ระบาดลงได้
นี่คือการต่อสู้ว่าจะเดินแนวทางบุรีรัมย์ อุทัยธานี ดีหรือไม่
ต้องยอมรับว่าพลันที่บุรีรัมย์ อุทัยธานี ประกาศมาตรการเข้มในการต่อ สู้กับการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างที่เรียกว่า”ปิดเมือง” ก็เท่ากับได้เสนอแนวทางที่ล้ำหน้าขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
แนวทางบุรีรัมย์ อุทัยธานี สวนทางอย่างสิ้นเชิงกับมาตรการอันมาจาก “ทำเนียบรัฐบาล”
เพราะแนวทางทำเนียบรัฐบาลเป็นแนวทาง”กึ่งปิด-กึ่งเปิด”
ขณะที่แนวทางบุรีรัมย์ อุทัยานี ประกาศ”ปิดเมือง”อย่างเฉียบขาดและเดินหน้าปฏิบัติการของตนโดยความร่วมมืออย่างแนบแน่นภายในจังหวัด
จะทำเช่นนี้ได้จำเป็นต้องมีเอกภาพระหว่างจังหวัดกับประชาชน จะทำเช่นนี้ได้จำเป็นต้องมีความร่วมมือตั้งแต่ระดับล่างไปจนถึงระดับบน
เท่ากับเป็นการประกาศการต่อสู้กับแนวทางของทำเนียบรัฐบาล
หลักการในการสู้รบมีเพียงหลักการเดียวเท่านั้น 1 สงวนกำลังของเราเอง และ 1 ทำลายหรือบดขยี้กำลังของอีกฝ่ายให้ราบคาบ
เบื้องหน้าสภาพการณ์นับแต่เดือนมกราคมเป็นต้นมา
แจ่มชัดอย่างยิ่งว่า กำลังต่อสู้อยู่กับการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 จากประเทศจีน
แจ่มชัดว่าศัตรูคืออะไร แจ่มชัดว่ามิตรเป็นใคร
ในสงครามและการสู้รบกับศัตรูเช่นนี้ไม่เหลือพื้นที่ให้กับความลังเล ความหวั่นไหววอกแวกอย่างเด็ดขาด
แนวทางใครชัด แนวทางใครไม่ชัด สัมผัสได้จากการปฏิบัติ