ประชามติแบบไทยๆ โดย นิธินันท์ ยอแสงรัตน์

ฝ่ายรัฐกำลังทำตัวพิลึกมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเมื่อเย็นวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (10 กรกฎาคม 2559) เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่เพียงจับกุมคุมขังผู้รณรงค์ประชามติเสรีและรณรงค์โหวตโนเท่านั้น หากยังจับนักข่าว “ประชาไท” ที่ติดตามคณะรณรงค์ไปทำข่าวนี้ด้วย

เจ้าหน้าที่ตำรวจฟ้องว่าพวกเขาทำผิดพรบ ประชามติมาตรา 60 (9) และ 61 วรรค2 ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุดถึง10 ปี

การรณรงค์ประชามติเสรีและรณรงค์โหวตโน ไม่ใช่ความผิดและไม่ควรเป็นความผิด หากกระนั้นก็สามารถเข้าใจได้ว่าฝ่ายรัฐปัจจุบันย่อมเห็นเป็นความผิด แต่การทำข่าวคืออาชีพของนักข่าว ถ้าการประกอบสัมมาอาชีวะกลายเป็นความผิด จะมีคำอธิบายอะไรดีกว่าว่า เรากำลังอยู่ในสังคมพิลึกหรือสังคมเสียสติของจริง ที่มิใช่แค่คำประชดว่าเสียสติ

เรื่องนี้บรรดาสมาคมสื่อเงียบกริบไปค่อนคืนค่อนวัน กระทั่งบ่ายวันจันทร์ คุณปราเมศ เหล็กเพ็ชร์ อุปนายกฝ่ายสิทธิเสรีภาพและการปฏิรูปสื่อ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และคุณสุปัน รักเชื้อ อุปนายกฝ่ายสิทธิเสรีภาพ สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย จึงออกมาประกาศข้อเรียกร้องในนามฝ่ายสิทธิฯ ของ 2สมาคม ให้รีบปล่อยตัวนักข่าวโดยไม่มีการตั้งข้อกล่าวหา

Advertisement

ล่าสุดที่เขียนข้อความนี้ ศาลจังหวัดราชบุรีเพิ่งอนุมัติให้ประกันตัวผู้ต้องหาทุกคนในวงเงินคนละ140,000บาท

วงเงินประกันดูจะสูงขึ้นเรื่อยๆ สำหรับนักกิจกรรมฝ่ายเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยซึ่งถูกจับเพราะการเคลื่อนไหวของพวกเขาในระยะหลังๆ คล้ายต้องการบีบให้บรรดานักกิจกรรมเหล่านี้ยิ่งยากลำบาก และเป็นเหตุให้ฝ่ายไม่พอใจนักกิจกรรมเหล่านี้ตั้งคำถามรัวๆ แบบเดียวกับที่นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาเคยถามว่า “เอาเงินมาจากไหน ต้องสั่งสอบสวน ใครเป็นท่อน้ำเลี้ยง?” แม้ฝ่ายนักกิจกรรมจะเปิดเผยที่มาของเงินบริจาคคนละเล็กละน้อยแต่ไม่ขาดสายของพวกเขาอย่างชัดเจนแล้วก็ตาม

ความเชื่อว่าคนคิดต่างล้วนรับจ้างผู้ประสงค์ร้ายมาบ่อนทำลายความสุขสงบของบ้านเมือง และการลงประชามติแบบห้ามแสดงความเห็น แต่ฝ่ายรัฐผู้ควบคุมการลงประชามติแสดงเจตนาให้เห็นว่าประชาชน “ต้องรับสิ่งที่รัฐเสนอ” นับเป็นความเชื่อและการลงประชามติแบบไทยๆ โดยแท้ ในยุค “ประชาธิปไตย 99.99 %” หรือยุค “ไปบอกชาวโลกว่ารัฐประหารของไทยไม่เหมือนใคร”

แม้ผู้รณรงค์ประชามติเสรีและนักข่าวที่ถูกจับจะได้รับการประกันตัวไปแล้ว ก็ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่าผู้รณรงค์ประชามติเสรีและนักข่าวที่ทำข่าวรณรงค์ประชามติคนอื่นๆ จะไม่ถูกจับอีก

เป็นเรื่องราวประมาณผู้ใหญ่บ้านซึ่งมีขีปนาวุธในครอบครอง ต้องการให้ชาวบ้านทุกคนกินข้าวผัดเนื้อแพะสูตรคุณพ่อรู้ดีจากร้านอาหารของผู้ใหญ่บ้านทุกมื้อและทุกวัน จึงชักชวนชาวบ้านมาลงคะแนนเสียงว่าจะรับหรือไม่รับข้อเสนอของผู้ใหญ่ฯ แต่เมื่อชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่เคยกินข้าวผัดสูตรนี้แล้วท้องเสีย ประกาศเสียงดังว่าไม่รับ พวกเขาและผู้นำเรื่องของพวกเขาไปบอกต่อ กลับโดนผู้ใหญ่บ้านสั่งปิดปากไล่ล่าแทบอาสัญ

ให้รับเท่านั้น ทำตามคำสั่งเท่านั้น ห้ามถาม ห้ามคิด ห้ามพูด ห้ามแสดงความเห็น ห้ามออกข่าวในทางตรงกันข้าม เข้าใจไหม?

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image