สถานีคิดเลขที่ 12 : ล็อกดาวน์‘นักการเมือง’ : โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

ตามโครงสร้าง ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 (ศบค.) นั้น

ที่มีการมองว่า มีการ “ล็อกดาวน์” ไม่ให้ฝ่ายการเมืองเข้ามายุ่งเกี่ยวนั้น

อาจจะไม่ตรงเป๊ะนัก

ด้วยหากไปดู คณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่มี นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ แล้วนั้น

Advertisement

ในส่วนกรรมการอีก 23 คน

ยังมีฝ่าย “การเมือง” แจมอยู่บ้าง

ไม่ว่า รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม

Advertisement

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

ไม่ถึงกับปิดตายเลยทีเดียว

แต่ถามว่า ในฐานะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาเป็นนายกรัฐมนตรี โดยเสียงสนับสนุนของพรรคร่วมสิบเอ็ดพรรค

พล.อ.ประยุทธ์ได้ใช้ช่องทางการเมืองดังกล่าว เพื่อขับเคลื่อนสู้วิกฤตไวรัสโควิด-19 หรือไม่

ก็คงต้องบอกว่า น้อยมาก

มิใช่น้อยธรรมดา ยังปรากฏภาพด้วยว่า “ฝ่ายการเมือง” ได้กลายเป็น “ปัญหา” หรือ “ตัวถ่วง” เสียเองด้วย

จึงแทบจะไม่มีเสียงคัดค้าน

เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เลือกจะแก้วิกฤตครั้งนี้ โดยปราศจากนักการเมือง

หันกลับไปใช้โครงสร้างเดิม คือพึ่งพา “พรรคข้าราชการประจำ”

โดยมีหมอ ทหาร ตำรวจ กอ.รมน.เป็นแกนหลัก

จนรู้สึกว่า นี่คือการฟื้นคืนกลับมาของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อีกครั้ง

เพียงแต่ปรับให้นุ่มนวลขึ้น

คือ ให้บทบาท พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) เป็นฝ่ายนำในฐานะตัวแทนกองทัพไทย

ส่วนผู้นำทหารที่เป็น “ตัวนำ” ตลอด อย่าง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ เปลี่ยนไปเป็นกองหนุน

ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ทราบดีถึงการเป็น “สายล่อฟ้า” ที่อาจไม่เหมาะจะทำหน้าที่สื่อสารในยามวิกฤตนี้

ภารกิจนี้จึงมอบให้ พล.อ.พรพิพัฒน์ ซึ่งแข็งกร้าวน้อยกว่า

ประกอบกับ กองทัพบกเองก็เผชิญกับปัญหาเรื่องสนามมวยลุมพินี ที่เป็นจำเลยสังคมว่าเป็นแหล่งใหญ่แพร่เชื้อโควิด-19

ถูกกดดันจากสังคมจนต้องมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวน

ทำให้บทบาทของ พล.อ.อภิรัชต์ไปอยู่ในแถวสองฐานะผู้สนับสนุน มากกว่าผู้นำ

แต่กระนั้น เชื่อว่าหากสถานการณ์รุนแรงขึ้น ถึงขนาดจะต้องล็อกดาวน์พื้นที่จริงๆ

กองทัพบกก็คงต้องเป็นหลักอยู่ดี

เพียงแต่อาจจะมีผู้ตั้งข้อสังเหตว่า ระดับความสัมพันธ์ระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ กับ พล.อ.อภิรัชต์ ยังแนบแน่นเหมือนเดิมหรือไม่

ซึ่งหากเป็นอย่างที่ตั้งข้อสังเกตจริง พล.อ.ประยุทธ์ก็คงแสดงบทบาทผู้นำทหาร ในฐานะ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม” มากยิ่งขึ้น

ส่วน พล.อ.อภิรัชต์ ก็กลับไปยืนในแถวสองในฐานะผู้สนับสนุน

แต่ก็นั่นแหละ แม้จะปรากฏร่องรอย ความไม่แนบแน่น อย่างที่ซุบซิบกัน แต่ถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะเลือกใช้หรือพึ่งพาใครมากกว่ากัน

ระหว่างฝ่ายการเมืองกับฝ่ายทหาร (และข้าราชการประจำ)

แน่นอน ย่อมเป็นฝ่ายทหารและข้าราชการประจำอย่างแน่นอน

ส่วนนักการเมือง

ถูก “ล็อกดาวน์” ไว้เรียบร้อย

สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image