‘ธนาธร’ ชี้ 3 มาตรการสู้โควิด-19 สาธารณสุข-Social Distancing-การคลัง ต้องสอดประสานกัน เชื่อเงินมหาศาลจะเข้าสู่ระบบ-รัฐผุดบิ๊กแพคเกจที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เมื่อวันที่ 2 เมษายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 19.30 น. วันที่ 1 เมษายน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) กล่าวในรายการ Mission To The Moon ซึ่งเป็นการพูดคุยเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 การรับมือ การเอาตัวรอดและการเดินหน้าต่อไปของธุรกิจต่างๆ ตอนหนึ่งว่า ถ้าดูจากการระบาดแล้ว คิดว่ายังไม่ถึงจุดแย่ที่สุด เพราะก่อนหน้านี้ 90 เปอร์เซ็นต์ของผู้ติดเชื้อทั้งหมดอยู่ที่ จีน เกาหลีใต้ อิหร่าน และอิตาลี แต่พอเวลาเคลื่อนผ่านมา จุดศูนย์กลางการแพร่ระบาดย้ายมาอยู่ที่ยุโรป และสัปดาห์นี้มาอยู่ที่สหรัฐอเมริกา แต่อย่าลืมว่ายังมีประเทศที่กำลังพัฒนาที่ตัวเลขยังไม่สูง ไม่ว่าจะเป็นอินเดีย หรือแถบอเมริกาใต้ ซึ่งประเทศเหล่านี้ศักยภาพรับรองทางการแพทย์น้อยกว่าประเทศที่ระบาดไปแล้วเสียอีก ถ้าไปประเทศเหล่านี้เมื่อไหร่ ความเลวร้ายน่าจะมากขึ้น เพราะลักษณะการแพร่ระบาดนั้น แค่เหตุการณ์เดียวก็แพร่กระจายไปไกล แต่อาจให้ข้อสังเกตไว้ด้วยว่า เหตุผลที่การแพร่ระบาดในประเทศเหล่านี้ช้ากว่า คือการที่ประเทศตั้งอยู่เขตเส้นศูนย์สูตร เป็นเขตร้อนชื้น ไม่เหมือนประเทศติดอยู่อุณหภูมิค่อนข้างต่ำ ซึ่งไวรัสกระจายไปได้เร็วกว่า แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ระบาด
“มาตรการที่จะใช้รับมือกับไวรัสโควิด-19 ต้องมีอยู่ 3 ส่วน ได้แก่ 1.มาตรการทางด้านการแพทย์และการสาธารณสุข 2.มาตรการ Social Distancing หลีกเลี่ยงเดินทางพบปะกัน และ 3.มาตรการเยียวยาด้วยวิธีการทางการคลัง ทั้งหมดนี้ต้องไปด้วยกันถึงจะมีประสิทธิภาพ แต่ปัญหาที่ผ่านมา ทั้ง 3 มาตรการนี้ถูกออกแบบมาใช้คนละเวลา ทำให้เกิดประสิทธิภาพไม่เต็มที่ ยกตัวอย่างเช่น เราเรียกร้องให้มี Social Distancing แต่ขณะเดียวกันไม่มีมาตรการรองรับกลุ่มคนที่เปราะบางสุดในสังคมอย่างแรงงานนอกระบบ คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ทำงานรับเหมารายวัน ไม่ว่าจะเป็นมอเตอร์ไซค์ขับรถส่งของ คนเก็บขยะ ผู้ช่วยพยาบาลต่างๆ แต่กลับเป็นคนไม่ได้รับการเหลียวแลจากรัฐ เป็นต้น มาตรการที่ว่าถ้าไม่ออกพร้อมเพรียงกัน จะทำให้การรับมือไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร จึงต้องออกแบบด้วยกัน คิดอย่างเป็นระบบ และประสานงานกัน” นายธนาธรกล่าว
นายธนาธรกล่าวอีกว่า สำหรับคำแนะนำผู้ประกอบธุกิจในวิกฤตตอนนี้ สิ่งสำคัญคือสายป่านต้องยาวขึ้น คือ ควรมีเงินสดถือไว้สำหรับรองรับต้นทุนคงที่ของบริษัทตนเองอย่างน้อย 6 เดือน ต้องอยู่ให้ได้สำหรับค่าใช้จ่ายคงที่ ธนาคารที่ให้กู้ช่วงนี้ต้องรีบกู้เงินออกมาถือไว้ก่อน เพราะถ้าสถานการณ์หนักกว่านี้ ธนาคารย่อมต้องไม่ให้กู้ แต่สำหรับบริษัทที่มีเงินสดในมือ มองว่านี่คือโอกาสที่จะซื้อเทคโนโลยี เพราะจะถูกมาก หรืออาจเป็นการซื้อคู่แข่งที่มีฐานลูกค้าซึ่งเราไม่มี เช่น บริษัทเราฐานลูกค้าในกรุงเทพฯ แต่คู่แข่งมีฐานในต่างจังหวัด อย่างนี้สามารถเสริมความแข็งแกร่งให้ตัวเองได้ หรือต่างประเทศ ญี่ปุ่น อเมริกา หรือเยอรมัน มีทรัพย์สินราคาถูกและน่าลงทุนอยู่เยอะมาก เชื่อว่าวิกฤตครั้งนี้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ จะเกิดมาตรการส่งเสริมเศรษฐกิจด้วยการขยายงบดุลธนาคารแห่งประเทศอย่างมโหฬาร ทั่วโลกพร้อมกัน น่าจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ อีกไม่นานเงินจะท่วมตลาด และทรัพย์สินราคาจะไล่ต่อไป ถ้าเรามีเงินสดเหลือมากกว่า 6 เดือนนี่คือโอกาส
“เชื่อว่าหลังจากนี้จะมีแพคเกจมาตรการที่ใหญ่กว่า ทั้งรับมือในช่วงนี้และรับมือช่วงฟื้นฟูประเทศ เงินมหาศาลจะเข้าสู่ระบบ นี่จะเป็นมาตรฐานใหม่ เราจะเห็นแพคเกจที่ใหญ่ที่เราไม่เคยเจอมาก่อน รวมถึงหลังจากนี้จะมีโอกาสของเทคโนโลยีใหม่ๆ ระบบเวชทะเบียนแบบกระดาษที่ใช้ในโรงพยาบาลต้องเลิกได้แล้ว ควรทำข้อมูลเวชทะเบียนดิจิทัลที่ง่ายต่อสืบค้น มีการเก็บข้อมูลแบบบิ๊กดาต้า ใช้เอไอวิเคราะห์ และต้องเชื่อมโยงกับบัตรประชาชน ไม่ควรต้องกรอกข้อมูลซ้ำซ้อน เช่น การลงทะเบียนรับเงินช่วยเหลือ 5,000 บาท ตอนนี้ ใช้เลขบัตรประชาชน 13 หลักก็น่าจะเพียงพอ เชื่อว่าในอนาคตด้านการแพทย์จะมียาสำหรับแต่ละคน นาโนเทคโนโลยีจะเข้ามาช่วยได้ เพราะถ้ามีบิ๊กดาตา มีข้อมูลดิจิทัล มีการสังเคราะห์ข้อมูลด้วยปัญญาประดิษฐ์ ถ้าเกิดป่วยขึ้นมา ก็มีโอกาสที่จะบอกได้เลยว่ามียาที่เหมาะสมกับเราที่สุดและในเมืองไทยอีกอย่างที่อยากเห็นแม้ไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่ก็ตาม การผลิตเครื่องช่วยหายใจ ที่ผ่านมาเรานำเข้าอุปกรณ์เครื่องมือการแพทย์เยอะมาก อาจต้องกลับมาคิดเรื่องนี้เพื่อต่อสู้กับโรคระบาดในอนาคต ตัวอย่างเช่นการผลิตเครื่องช่วยหายใจ รวมถึงตัวกรองอากาศ HEPA Fillter ที่ใช้ในห้องความดันอากาศของผู้ป่วย ซี่งเทคโนโลยีไม่ได้ซับซ้อน แต่ทว่าต้องนำเข้า เราคงต้องคิดผลิตในประเทศ” นายธนาธรกล่าว