สงครามเอาเป็นเอาตายเที่ยวนี้ ลุกไล่เมืองไทยจนตรอกจนแต้มหลายทางด้วยกัน
โควิด-19 ศึกหนึ่ง น้ำแห้งขอดทั่วสารทิศศึกหนึ่ง ไฟไหม้ป่าเลียบเมืองศึกหนึ่ง ฝุ่นพิษขจายคลุมชุมชนเมืองก็ศึกหนึ่ง
ส่วนสงครามถาวร อาทิ ไร้การศึกษา สังคมยากจนข้นแค้น ยาเสพติดกลายเป็นตลาดนัดหลังโรงพัก ความขาดแคลนในความเป็นคนค่อยๆ ลดหายลงเป็นหลายระดับ ฯลฯ
วิกฤตวินาศสันตะโรเหล่านี้ ถ้าวิกฤตแต่ละเรื่องแต่ละตอนมีอายุขัย ก็เกิดคำถามในสังคมว่า จะกลับไปเป็นปกติเมื่อไร
จะกลับไปอย่างเก่าจริงๆ หรือ
เศษชีวิตที่มีแต่ค่าใช้จ่ายล่วงหน้า ไม่เปิดถึงแก่นถึงกระดูกกันดอกหรือ หรือมีการจัดการปรับปรุงระเบียบชีวิตสังคมใหม่กันอยู่?
เราจะหวังพึ่งวุฒิภาวะของใคร ที่ชุมชนเมืองใหม่จะต้องเอาใจใส่ ดิน น้ำ ลม ไฟ อย่างแท้จริง
เราจะหาวิศวกรรมชลประทานได้จากที่ไหน ที่สนใจความเป็นเจ้าเมืองได้ละเอียดถี่ถ้วน ขุดลอกแหล่งน้ำแต่แล้ง ปรุงแต่งห้วยหนองคลองบึงทั่วประเทศ ขอความร่วมมือร่วมใจมิให้เล่นไฟป่า ก่อนออกกฎหมายหฤโหดเพื่อส่วนรวมมาจัดการทีหลัง เฉกเช่นเดียวกับฝุ่นพิษซึ่งไม่ใช่เรื่องของประเทศใดประเทศหนึ่ง
ยังมีสงครามมหากาฬปลีกย่อยที่เขมือบคนของเราไม่เว้นแต่ละวัน การแบ่งปันความรู้ที่อยู่อย่างทัดเทียมและใกล้เคียงกันจะสัมฤทธิผลในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ความยากจนที่รับแจกอย่างเดียวโดยไม่สนองการทำงานตอบแทน ความรุ่มรวยที่รอดนรกด้วยยาเสพติด ชีวิตจริงมีอยู่กี่ราย
เหล่านี้ ล้วนเป็นคำถามที่ต้องเดินเข้าไปหา
อาจจะไม่ต้องเข้าไปหาเลยก็ได้
ถ้าใครเหลือที่สักกระแบะมือหรือมากกว่าแล้วมีน้ำ ลองปลูกผักเล่นๆ ดู
ลงไม้ยืนต้นเพิ่มเติมยิ่งวิเศษ ฝนมาเมื่อไรจะเห็น
ใช้วัดใกล้บ้านเป็นศาลาประชาคมดู
ทำสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เช่น บ่อน้ำ ไฟฟ้า โรงทานที่มีเครื่องครัว คลินิกต้นไม้ แล้วหาที่นั่งพักเงียบๆ
สวดมนต์กำกับไปด้วยก็ได้ว่า ทุกนาม ทุกรูป ไม่เที่ยง ทุกข์ฉิบหาย
ซ้ำไม่มีตัวตนเสียอีก เล่นหลอกกันนี่หว่า