“สิระ-สฤษฎ์พงษ์” ยื่นกกต.ขอแก้ระเบียบ ยกเว้นเพดานเงินบริจาคช่วยปชช. ช่วงไวรัส โควิด-19

“สิระ-สฤษฎ์พงษ์” ยื่นกกต.ขอแก้ระเบียบ ยกเว้นเพดานเงินบริจาคช่วยปชช. ช่วงไวรัสโควิด-19 ชี้ ระเบียบมีข้อจำกัดเป็นอุปสรรคในการช่วยเหลือปชช.
                             
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 13 เมษายน ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พร้อมด้วยนายสฤษฎ์พงษ์ เกี่ยวข้อง ส.ส.กระบี่ พรรคภูมิใจไทย (ภท.) เข้ายื่นหนังสือต่อ กกต.เพื่อขอยกเว้นการบังคับใช้กฎหมาย ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 ตามมาตรา 65 ประกอบมาตรา 66 และระเบียบ กกต. ว่าด้วย จำนวน หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขของการให้ตามประเพณี  หรือเมื่อมีเหตุอันสมควรและการยื่นคัดค้านเกี่ยวกับการบันทึกค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งต่อไปพ.ศ. 2561 รวมทั้งขอให้ยกเว้นการบังคับใช้กฎหมาย ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 61
                             
ทั้งนี้ นายสฤษฎ์พงษ์ กล่าาว่า ระเบียบของ กกต.เป็นอุปสรรคในภาวะวิกฤต การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในขณะนี้ เป็นอุปสรรคกับนักการเมืองทุกคนไม่ว่าระดับใด โดยเฉพาะ ส.ส.ที่ประชาชนคาดหวัง อยากให้ลงพื้นที่ไปช่วยเหลือ ซึ่งภาวะวิฤตครั้งนี้ไม่มีใครตอบได้ว่าจะจบเมื่อใด แต่ระเบียบดังกล่าวกลายเป็นอุปสรรคว่าถ้านักการเมืองคนไหนบริจาค ถ้าเกินจำนวน 300,000 บาท ต้องนำยอดเงินนี้ไปคำนวณเป็นค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า เราก็เห็นว่าในภาวะวิกฤตเช่นนี้เพดานเงินจำนวน 300,000 บาท ควรได้รับการยกเว้น ซึ่งก็จะทำให้นักการเมือง ซึ่งประชาชนคาดหวังความช่วยเหลือสูงมาก สามารถช่วยเหลือประชาชนได้อย่างเต็มที่ บางครั้งเราอาจมีสปอนเซอร์ รวมกลุ่มกับองค์กรต่างๆที่จะช่วยเหลือประชาชน จำนวนทรัพย์สินในอนาคตจึงอาจเป็นปัญหาได้ หากต้องไปรวมเป็นค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งครั้งหน้า อย่างตนถ้าวันนี้บริจาคเงินช่วยเหลือ 300,010 บาท ไม่ใช่เอาเงินส่วนเกินแค่ 10 บาท ไปคำนวณ แต่ต้องเอาทั้ง 300,010 บาทไปรวมคำนวณ ไม่ใช่เฉพาะนักการเมืองคนเดียว แต่ถ้าเราไปทำพรรคการเมืองก็ต้องนำไปคำนวณด้วย ถ้าเราไปทำในนามพรรคการเมืองด้วยพรรคก็จะมีปัญหา การเลือกตั้งครั้งหน้าก็จะเกิดความวุ่นวาย นักการเมืองก็ไม่สบายใจ คู่แข่งหรือฝ่ายตรงกันข้ามที่แพ้การเลือกตั้งก็จะพยายามจับผิด เพื่อเอาไปเป็นประเด็นต่อสู้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า

“อยากให้ กกต.ทบทวนระเบียบนี้ เฉพาะครั้งนี้ ซึ่งไม่เฉพาะประเทศไทยก็ประสบภาวะวิกฤต จึงควรยกเว้นระเบียบนี้ โดยตนในนามพรรคภูมิใจไทย และนายสิระ ในฐานะพรรคพลังประชารัฐ มีความมุ่งหมายตรงกัน จึงมายื่นหนังสือต่อ กกต.ในครั้งนี้  ทั้งนี้ไม่ต้องห่วงเรื่อง ส.ส.จะบริจาคเงินเดือนหรือไม่ เพราะเงินเดือน ส.ส.หักค่าใช้จ่ายแล้ว เหลือไม่เท่าไหร่ เชื่อว่า ส.ส.ทุกคนใช้จ่ายเงินเกินเงินเดือนอยู่แล้ว ดังนั้นไม่น่าที่จะต้องมาพูดบริจาคเงินเดือนให้ไปปลดล็อคระเบียบนี้ดีกว่า แล้วจะเห็นเลยว่า ส.ส.แต่ละพื้นที่มีโครงการช่วยเหลือประชาชนอย่างไร ระเบียบนี้จึงเป็นเครื่องมือสำคัญ หาก กกต.ปลดล็อคแล้ว ประชาชนก็จะได้รับการช่วยเหลือมากขึ้น”
                             
นายสิระ กล่าวว่า อยากให้ยกเว้นในช่วงที่ พ.ร.ก.ฉุกเฉินยังมีผลใช้บังคับ เพราะ ส.ส.เป็นตัวแทนประชาชน เวลาประชาชนมีปัญหา ข้าวไม่มีกิน ยาฆ่าเชื้อไม่มีใช้ ก็ตั้งพึ่งพา ส.ส. ถ้าเราไม่ทำก็เหมือนคนไม่รู้จักบทบาทหน้าที่ จำกัดสิทธิในการช่วยเหลือ วันนี้คำว่าได้เปรียบเสียเปรียบในทางการเมือง เจตนารมณ์ของกฎหมายเพื่อไม่ให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบนั้น แต่เราจำกัดเฉพาะผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่คนที่เป็นคู่แข่ง หรือคนที่หวังจะเล่นการเมือง ทำช่วงนี้ ถามว่าใครได้เปรียบเสียเปรียบ คนที่มีตำแหน่งทางการเมืองแล้วก็เสียเปรียบ ซึ่งตนเข้าใจเจตนารมณ์ของกฎหมายไม่ต้องการให้ใครได้เปรียบเสียเปรียบ แต่เมื่อมีวิกฤต ทุกคนมีกำลังความสามารถ มีสำนึกที่จะตอบแทนประชาชน ก็ควรเปิดกว้างไปเลย ในช่วงที่มีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
                             
เมื่อถามว่า คิดว่า ส.ส.ทุกคนควรสละเงินเดือนเพื่อช่วยเหลือ หรือแค่การช่วยเหลือที่เป็นอยู่ก็เพียงพอแล้ว นายสิระ กล่าวว่า ส.ส.ยึดโยงและใกล้ชิดกับประชาชน มีเท่าไหร่ก็ช่วยไปหมดแล้ว แต่ส่วนที่มีมากกว่ากฎหมายกำหนด อยากให้ กกต. มีการทบทวนช่วง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อย่างตน เมื่อวันที่ 5 เมษายน เพื่อนเห็นว่าตนยังติดปัญหาจากระเบียบข้อนี้ จึงสนับสนุนข้าวสารมาเพื่อช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ ทั้งที่ส่วนตัวของตนพร้อมดูแลช่วยเหลือประชาชนด้วยงบส่วนตัวแบบไม่อั้นอยู่แล้ว แต่ถูกระเบียบที่เขียนโดย กกต. ล็อคเอาไว้ ไม่ใช่ตัวกฎหมายใหญ่ โดยตามระเบียบเขียนล็อคเรื่องจำนวนเงิน ระยะเวลา และการใช้จ่าย โดยมีการกำหนดให้มีข้อยกเว้นได้ในภาวะวิบัติ จึงอยากให้ กกต.มีมติแก้ไขระเบียบ ซึ่งถ้า กกต.มีการแก้ไขระเบียบก็จะรู้ว่ามี ส.ส.จะลงไปดูแลประชาชนในพื้นที่อย่างไร เพราะตอนนี้มี ส.ส.บางท่านอ้างว่าติดระเบียบนี้จึงไม่ไปดูแลประชาชน จึงอยากให้ กกต.พิสูจน์ว่า ส.ส.เต็มที่กับประชาชนในพื้นที่จริงหรือไม่ เมื่อไม่มีข้อจำกัด วันนี้ฝ่ายตรงข้ามเก็บข้อมูลเพื่อตรวจสอบผมอยู่แล้ว และคิดว่าคนที่เป็น ส.ส.ก็โดนอย่างนี้ทุกคน ทำให้เราทำงานได้ไม่เต็มที่ ทั้งที่อยากจะทำงานให้เต็มที่สมกับที่เป็นผู้แทนราษฎร
                             
“วันนี้ในโซเชียลถามว่า ส.ส.อยู่ไหน ทำไมไม่ช่วยประชาชน ซึ่งก็ติดระเบียบนี้เหมือนกัน แต่ที่พูดไม่ได้แก้ตัว และอีกเหตุผลหนึ่งคือ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในขณะนี้ ไม่ใช่เวลาที่ ส.ส.จะมาหาเสียง แต่ต้องทำงานให้ประชาชน อย่าจำกัดสิทธิการทำงานของ ส.ส.และผู้ดำรงตำแหน่งทากงารเมืองทุกระดับ อยากให้ กกต.ปลดล็อคเพื่อให้ ส.ส.ได้ทำหน้าที่ เพราะเราไม่มีเจตนาที่จะมาหาเสียงเลือกตั้งกันในเวลาแบบนี้”นายสิระ กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image