ที่มา | คอลัมน์ สยามประเทศไทย มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
เผยแพร่ |
กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางของอำนาจรัฐ ทั้งทางเศรษฐกิจการเมืองและศิลปวัฒนธรรม จึงเป็นผู้บงการว่าประวัติศาสตร์ไทยให้มีแต่ราชธานี ไม่มีท้องถิ่น
สำหรับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติมีได้ในตัวจังหวัด ถ้านอกตัวจังหวัดมีไม่ได้ ฯลฯ
อย่างนี้ อ.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ (ม.ธรรมศาสตร์) บอกว่าเป็นลักษณะสถาปนาอาณานิคมภายใน
อ.สุเทพ สุนทรเภสัช อธิบายไว้ในหนังสือรวมบทความชุดมานุษยวิทยากับประวัติศาสตร์ (สำนักพิมพ์เมืองโบราณ รวมพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2540) จับใจความง่ายๆได้ดังนี้
ระบบอาณานิคมภายใน (Internal Colonialism) หมายถึงส่วนกลางมีอำนาจทางการเมืองเหนือกว่า และมุ่งแสวงหาผลประโยชน์ทุกอย่างจากดินแดนส่วนภูมิภาคซึ่งอยู่รอบนอก
การเปลี่ยนแปลงไปสู่สมัยใหม่ (Modernization) โดยไม่ทั่วถึงจากส่วนกลางสู่ส่วนภูมิภาครอบนอก เป็นเหตุให้ดินแดนบางแห่งเจริญ และบางแห่งไม่เจริญ
ผลที่เกิดตามมาในระยะแรก คือความไม่เสมอภาคทางการกระจายทรัพยากรและอำนาจทางการเมืองระหว่างส่วนกลางกับส่วนภูมิภาครอบนอก
กลุ่มผู้คุมอำนาจที่อยู่ส่วนกลางจะพยายามรักษาเสถียรภาพ และผูกขาดความได้เปรียบของตนไว้ โดยอาศัยแนวนโยบายและข้ออ้างต่างๆสุดแต่ส่วนกลางจะเสกสรรปั้นแต่งขึ้น เช่น ความเป็นไทย, ความเป็นประเทศไทยอันแบ่งแยกมิได้, ฯลฯ
ขณะเดียวกันก็สนับสนุนยกย่องคนจากส่วนกลางและคนที่ยอมอ่อนข้อ ให้ได้เปรียบคนพื้นเมืองที่ไม่ยอมอ่อนข้อ
กลุ่มที่เสียเปรียบในภูมิภาครอบนอกก็จะหันกลับไปยกระดับวัฒนธรรมของตน ให้มีความสำคัญเทียบเท่า หรือเหนือกว่าวัฒนธรรมส่วนกลางของผู้ได้เปรียบ
ผู้เสียเปรียบและเครือข่ายมีสำนึกว่าตัวเองเป็นอีกประชาชาติหนึ่ง แล้วพยายามดิ้นรนเป็นอิสระจากอำนาจและอิทธิพลของส่วนกลาง
[สรุปสั้นๆ ย่อๆ จากคำอธิบายของ อ. สุเทพ]
รัฐราชการของไทย ยกตนข่มเพื่อนบ้านว่าไทย “ไม่เคยเป็นเมืองขึ้น” ของเจ้าอาณานิคมตะวันตก แล้วเคยตอบโต้สหรัฐเมื่อขอคืนทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ สู่สถานที่เดิมบนปราสาทพนมรุ้ง บุรีรัมย์
แต่บัดนี้รัฐราชการไทยกลับสร้างอาณานิคมภายในทางศิลปวัฒนธรรมด้วยตนเอง โดยยักย้ายโบราณศิลปวัตถุจากที่หนึ่งไปไว้อีกที่อื่นด้วยวิธีหักคอเจ้าของพื้นที่ซึ่งเป็นชุมชนชาวบ้าน
เมื่อชาวบ้านทวงคืนก็ปฏิเสธด้วยท่าทีวางอำนาจเต็มขั้นเป็นเจ้าอาณานิคมภายใน