ทีดีอาร์ไอแนะแจกเงินช่วยโควิด-19 รายครัวเรือน 3-5 พันบาท

ทีดีอาร์ไอแนะแจกเงินช่วยโควิด-19 รายครัวเรือน 3-5 พันบาท

วันนี้( 14 เมษายน) นายสมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัย ด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) โพสต์เฟสบุ๊ก Somchai Jitsuchon ถึงกรณีจ่ายเงินเยียวยา 5 พันบาทว่า เห็นข่าวความวุ่นวายของการแจกเงิน 5 พันบาท (ตกหล่นคนลำบาก แจกผิดตัว ล่าช้า AI ฉบับงง ๆ) แล้วอดเอาข้อเสนอแจกเงินของทีดีอาร์ไอ มาให้อ่านอีกทีไม่ได้ ถ้าเพียงแต่รัฐบาลเชื่อแต่แรกคงไม่ต้องปวดหัวอย่างนี้ ซึ่งจำนวนเงินไม่ได้เสนอสูง สามารถปรับเป็น 3,000-5,000 บาทได้

ข้อเสนอประกอบด้วย

1.ให้ประชาชนไทยทุกครอบครัว อยู่ในข่ายเบื้องต้นที่จะได้รับการเงินช่วยเหลือตามจำนวนสมาชิกในครัวเรือน เช่น สมาชิกในครัวเรือน 1-2 คน ได้เงินช่วยเหลือ 1,500 บาทต่อเดือน, 3-4 คนได้ 2,500 บาทต่อเดือน จากนั้นให้เพิ่มอีกคนละ 500 บาทต่อสมาชิกแต่ละคนที่มากกว่า 4 คน ขั้นต้นเป็นเวลา 3 เดือน

2.กระทรวงการคลังตรวจสอบทุกคนในแต่ละครัวเรือน โดยเปรียบเทียบกับฐานข้อมูล 26 ฐานที่ใช้ทำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อตัดครัวเรือนที่ไม่ควรได้รับความช่วยเหลือออกไป ตามเกณฑ์ที่กำหนดขึ้น เช่น ครัวเรือนที่มีบ้านหรือที่ดินเป็นของตนเองมูลค่าประเมินเกินกว่า 3 ล้านบาท มีเงินฝากรวมกันเกิน 100,000 บาท หรือมีเงินเดือนเฉลี่ยต่อคนเกินกว่า 15,000 บาท ซึ่งอาจจะทำให้เหลือครัวเรือนที่อยู่ในข่ายรับความช่วยเหลือประมาณ 6-7 ล้านครัวเรือน

Advertisement

3.ตัดลดเงินช่วยเหลือตามข้อ 1. ลง ตามจำนวนสมาชิกของครัวเรือนที่ได้รับความช่วยเหลือในส่วนการประกันการว่างงาน จากกองทุนประกันสังคมแล้ว

ทั้งนี้เหตุที่ไม่ได้เสนอให้ใช้ฐานข้อมูลบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นหลักตั้งแต่แรก เนื่องจากฐานข้อมูลดังกล่าวยังต้องพัฒนาให้ครอบคลุมมากขึ้น ดังผลการศึกษาที่พบว่า มีผู้มีรายได้น้อยที่ตกหล่นจากฐานข้อมูลดังกล่าวถึง 64% หรือกว่า 4-5 ล้านคน

สำหรับข้อเสนอจากเรื่องโควิด-19 เผยแพร่ในเว็บไซต์ทีดีอาร์ไอ ประกอบด้วย

Advertisement

 หนึ่ง รัฐบาลควรกำหนดเป้าหมายสูงสุดในการป้องกันการแพร่กระจายของโรค และลดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยจัดสรรทรัพยากรให้อย่างเพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นการกลั่นกรอง ติดตามและคัดแยกผู้ติดเชื้อ ซึ่งกำลังกระจายตัวไปในวงกว้างทั่วประเทศ และการรักษาพยาบาลผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง ให้มียารักษาโรคและอุปกรณ์ทางการแพทย์อย่างเพียงพอ ตลอดจนให้เบี้ยเลี้ยงพิเศษ และประกันชีวิตและประกันสุขภาพให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้อง โดยไม่ต้องห่วงฐานะการคลังและการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะสั้น เพราะสุขภาพของประชาชนย่อมมีความสำคัญกว่า

 สอง รัฐบาลควรมุ่งให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้น้อยและตกงาน อย่างไม่ตกหล่น และรวดเร็วพอที่จะสามารถแก้ความเดือดร้อนเฉพาะหน้าได้ 

ทั้งนี้ กองทุนประกันสังคมจะขยายความคุ้มครองแก่ผู้ประกันตน ในส่วนของการประกันการว่างงาน ให้ครอบคลุมถึงการเกิดโรคระบาด ทั้งกรณีนายจ้างไม่ให้ทำงานและกรณีภาครัฐมีคำสั่งให้หยุดกิจการชั่วคราว   มาตรการดังกล่าวเป็นมาตรการที่ตรงจุดในการช่วยเหลือคนว่างงาน แต่ยังไม่ครอบคลุมแรงงานที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด เพราะมีแรงงานที่ยังไม่ได้เข้าสู่การประกันการว่างงานในระบบประกันสังคม (ซึ่งรวมถึงผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และมาตรา 40 และแรงงานที่มีรายได้รายวันอาทิ คนขับแท็กซี่) ถึงร้อยละ 70 ของแรงงานทั้งหมด

ดังนั้น รัฐบาลจึงควรเพิ่มการให้ความช่วยเหลือแรงงานที่ยังไม่ได้เข้าสู่การประกันการว่างงานในระบบประกันสังคม ตามขั้นตอนดังนี้

1) ให้ประชาชนไทยทุกครอบครัว อยู่ในข่ายเบื้องต้นที่จะได้รับการเงินช่วยเหลือตามจำนวนสมาชิกในครัวเรือน เช่น สมาชิกในครัวเรือน 1-2 คน ได้เงินช่วยเหลือ 1,500 บาทต่อเดือน, 3-4 คนได้ 2,500 บาทต่อเดือน จากนั้นให้เพิ่มอีกคนละ 500 บาทต่อสมาชิกแต่ละคนที่มากกว่า 4 คน ขั้นต้นเป็นเวลา 3 เดือน

2) กระทรวงการคลังตรวจสอบทุกคนในแต่ละครัวเรือน โดยเปรียบเทียบกับฐานข้อมูล 26 ฐานที่ใช้ทำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อตัดครัวเรือนที่ไม่ควรได้รับความช่วยเหลือออกไป ตามเกณฑ์ที่กำหนดขึ้น เช่น ครัวเรือนที่มีบ้านหรือที่ดินเป็นของตนเองมูลค่าประเมินเกินกว่า 3 ล้านบาท มีเงินฝากรวมกันเกิน 100,000 บาท หรือมีเงินเดือนเฉลี่ยต่อคนเกินกว่า 15,000 บาท ซึ่งอาจจะทำให้เหลือครัวเรือนที่อยู่ในข่ายรับความช่วยเหลือประมาณ 6-7 ล้านครัวเรือน

3) ตัดลดเงินช่วยเหลือตาม 1) ลง ตามจำนวนสมาชิกของครัวเรือนที่ได้รับความช่วยเหลือในส่วนการประกันการว่างงาน จากกองทุนประกันสังคมแล้ว

เหตุที่เราไม่ได้เสนอให้ใช้ฐานข้อมูลบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นหลักตั้งแต่แรก เนื่องจากฐานข้อมูลดังกล่าวยัง ต้องพัฒนาให้ครอบคลุมมากขึ้น ดังผลการศึกษาที่พบว่า มีผู้มีรายได้น้อยที่ตกหล่นจากฐานข้อมูลดังกล่าวถึงร้อยละ 64 หรือกว่า 4-5 ล้านคน

การให้ความช่วยเหลือตามข้อเสนอของเราอาจทำให้มีผู้ได้รับความช่วยเหลือโดยไม่สมควรไปบ้าง แต่ความผิดพลาดดังกล่าวน่าจะมีต้นทุนทางสังคมต่ำกว่าการไม่ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้สมควรได้รับความช่วยเหลือ หากยึดตามบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ  ทั้งนี้ รัฐและสังคมควรสื่อสารให้ผู้ที่ไม่เดือดร้อนไม่ใช้สิทธิในการรับความช่วยเหลือดังกล่าวในช่วงวิกฤติเช่นนี้

 สาม รัฐบาลควรพิจารณาให้ความช่วยเหลือเพื่อป้องกันการเลิกจ้างงาน โดยเฉพาะการให้ความช่วยเหลือแก่ธุรกิจขนาดเล็กเป็นหลัก เนื่องจากเป็นแหล่งจ้างแรงงานในกลุ่มเสี่ยงจำนวนมาก โดยอุดหนุนค่าเช่าสถานที่ และค่าจ้างแรงงานบางส่วน

 สี่ รัฐบาลควรยกเลิกมาตรการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ไม่ตรงจุด หรือซ้ำซ้อน เมื่อได้ให้ความช่วยเหลือตามข้อเสนอข้างต้นแล้ว อาทิ การลดค่าสาธารณูปโภคเช่น ค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปา ทั้งผู้ได้รับความเดือดร้อนและไม่ได้รับความเดือดร้อนแบบหว่านแหในปัจจุบัน

 ห้า รัฐบาลควรดำเนินมาตการในช่วงวิกฤติการณ์นี้โดยไม่ประมาท ไม่ตายใจหากตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ในบางวันลดลง โดยดำเนินการอย่างเป็นระบบในสถานการณ์ฉุกเฉิน ไม่บริหารราชการแผ่นดินเหมือนในสภาวะปรกติ เช่น ควรพร้อมประชุม ครม. แม้กระทั่งในวันหยุดหรือนอกเวลาราชการ และควรสื่อสารกับประชาชนอย่างครบถ้วน ชัดเจนและตรงไปตรงมา เพื่อฟื้นฟูความเชื่อถือจากประชาชน และทำให้ประชาชนให้ความร่วมมือกับมาตรการของรัฐ

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image