ไม่ว่าจะเป็น “หมอ” จากกระทรวงสาธารณสุข ไม่ว่าจะเป็น “นักธุรกิจ” จากภาคเอกชน ไม่ว่าจะเป็น “ปัญญาชน”สาธารณะ ไม่ว่าจะ เป็น “สื่อ” อาวุโสมีความเห็นตรงกัน
มีความจำเป็นต้องลดมาตรการ”เข้ม”ล็อกดาวน์”ลงอย่างมีจังหวะก้าว
นั่นก็คือ เป็นมาตรการ”คลาย” เป็นขั้นเป็นตอน
เป้าหมายสำคัญก็คือ ดำเนินกระบวนการ ”รี-สตาร์ท” ให้ธุรกิจสามารถดำเนินไปต่อไปได้ เพื่อเป็นช่องระบายทำให้ธุรกรรม เดินหน้าต่อไปได้
เพราะคำว่า “ธุรกิจ”มิได้หมายถึงเจ้าของกิจการ หากแต่ยัง ครอบคลุมถึงห่วงโซ่อันเป็นความต่อเนื่อง
บทเรียนจากโครงการ”เราไม่ทิ้งกัน”สำคัญ ทรงความหมาย
ความโน้มเอียงเป็นอย่างมากของรัฐบาลเป็นความโน้มเอียงอันสะท้อนลักษณะแห่ง”รัฐราชการรวมศูนย์”ออกมาอย่างเด่นชัด สถานการณ์ไวรัสได้ช่วยทำให้ได้ตื่น
ข้อเสนออันมาจากภาคเอกชน ไม่ว่าจะสมาคมธนาคาร ไม่ว่าจะหอการค้า ไม่ว่าจะสภาอุตสาหกรรม
ล้วนกระตุกเตือนไปยัง”ความโน้มเอียง”ในลักษณะสุดโต่ง
เพราะภาคเอกชนเหล่านี้เคยมีบทบาทในสถานะ”กรอ.”แต่ได้ถูกละเลยไปในห้วงแห่งการออกมาตรการ กระทั่งปัญหาปูดโป่งไปยังโครงการ”เราไม่ทิ้งกัน”
รูปธรรมคือสภาวะแห่งการแปรประเทศเป็น”โรงทาน” หากยิ่งเข้มโดยไม่มีการคลาย การเข้าแถวรอรับเงิน รอรับข้าวของบริจาคจะกลายเป็นเอกลักษณ์ไทย
ประจานฟ้องความล้มเหลวของ “รัฐราชการรวมศูนย์”
มีความจำเป็นต้องคืนอำนาจให้กับระบบให้กับโครงสร้างอันถูกต้องแห่งความเป็นประชาธิปไตย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจนิติบัญญัติอันสัมผัสผ่านระบบรัฐสภา
หากระบบรัฐสภายังได้รับการยอมรับนับถือ ก็แทบไม่จำเป็น ต้องมีหนังสือถึง “มหาเศรษฐี”ให้กลายเป็นกรณีอื้อฉาว
หากกระบวนการฉุกเฉินนับแต่เดือนมีนาคมอยู่ในกระบวนการตรวจสอบและควบคุมโดยรัฐสภาอันเป็น”ผู้แทนปวงชน”อย่างมีประสิทธิภาพ
ความเลวร้ายแห่งระบอบ”รัฐราชการรวมศูนย์”ก็คงไม่ประจานตัวเองกระทั่งกลายเป็นความอัปลักษณ์เช่นนี้
รัฐบาลจำเป็นต้องฟังความรอบด้าน แล้ว “ปรับตัว”