ที่มา | สกู๊ปหน้า 1 นสพ.มติชน |
---|---|
ผู้เขียน | นัฐวัฒน์ ดวงแก้ว |
เผยแพร่ |
หมายเหตุ – พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์มติชนถึงการทำงานในคณะรัฐมนตรี (ครม.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ 2 ปีที่ผ่านมา
ภาพรวมการทำงานตลอด 2 ปีกับคณะรัฐมนตรี (ครม.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
การร่วมงานกับคณะรัฐมนตรี (ครม.) เริ่มตั้งแต่พฤษภาคม 2557 ตั้งแต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติเข้ามาทำหน้าที่ ได้เข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ช่วงเดือนกันยายน 2557 คิดอยู่ว่าเป็นภาระที่หนักพอสมควร เนื่องจากเราไม่มีความรู้ด้านการเมือง ไม่มีความรู้งานด้านคมนาคมระดับประเทศ อาศัยการทำงานร่วมกับปลัดกระทรวง ข้าราชการผู้บริหารทุกระดับ และนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ช่วยกันทำงาน ผมจึงจับงานได้เร็วขึ้นและมีทิศทางในการพัฒนา แต่การแก้ไขปัญหาให้ประชาชนต้องทำอย่างต่อเนื่องไม่เสร็จใน 1-2 วัน ต้องใช้เวลา
ต่อมาเดือนกันยายน 2558 มีการปรับ ครม.และผมได้มาดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ต้องปรับการทำงานใหม่ เพราะได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงพลังงาน กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ทำให้มีเวลาประชุมและติดตามงานมากขึ้น มีโอกาสช่วยงานเท่าที่ทำได้ งานที่เป็นรูปธรรมคือ การปฏิรูปงานวิจัย และการขับเคลื่อนปฏิรูปการศึกษา การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งมีการเสนอรายงานถึงนายกฯว่ามีทิศทางการปฏิรูปเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อนายกฯรับทราบคงมีการเปลี่ยนทันที ดังนั้นในภาพรวมคิดว่าพอใจในการทำงานที่มีส่วนร่วมกับรัฐบาลและการขับเคลื่อนการบริหารประเทศ
ตอนเข้ามาเห็นแต่ปัญหาการเมือง ความไม่มีเสถียรภาพ ประชาชนแตกความสามัคคี ไม่เคารพกฎหมาย แต่พอได้มาจับงานบริหารเห็นเลยว่าความเดือดร้อนของประชาชนมีหลายมิติ หลายเรื่องที่มีปัญหาสะสมจำเป็นต้องเร่งแก้ไข หากไม่ทำตอนนี้จะส่งผลกระทบในคราวหน้า ต้องได้รับการสนับสนุนเต็มที่จากนายกฯ ในการแก้ไขปัญหา เพราะขั้นตอนหลายกระทรวงยุ่งยากซับซ้อนใช้เวลามากรัฐบาลจึงนำมาแก้ไข เช่น การขอใบอนุญาตการทำธุรกิจมีการขอและนำไปซื้อขายเปลี่ยนมือ ทำจริงบ้างไม่ทำจริงบ้างส่งผลกระทบให้การพัฒนาไม่เป็นไปตามแผน
ขณะที่ พ.ร.บ. หรือกฎหมายด้านการบินที่สะสมมานานเป็นเรื่องที่ท้าทายในการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลที่เน้นการปฏิรูป 11 ด้าน 37 วาระ แต่เมื่อเจอปัญหาทำให้เสียพลังไปเยอะ ทำให้ต้องระดมทรัพยากรมาแก้ปัญหา เป็นประสบการณ์ที่ยากลำบากพอสมควร รัฐบาลต้องทำ 2 อย่างพร้อมกัน คือ การบริหารประเทศและการปฏิรูป เพื่อให้ประเทศก้าวไปข้างหน้าแก้ปัญหาที่เป็นเหมือนตุ้มถ่วงที่มีเยอะมาก เวลาประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา มีหลายเรื่องที่ได้ดำเนินการแก้ไขปรับปรุงเพื่อปฏิรูปใหม่ แต่เรื่องสถานการณ์เศรษฐกิจ ภัยแล้ง และการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ ยอมรับว่ามีผลกระทบต่อการทำงานของรัฐบาล
พอใจการทำงานและการแก้ไขปัญหา 2 ปีที่ผ่านมาหรือไม่
เราไม่ได้เตรียมตัวมาเพื่อมาบริหารประเทศ แต่เมื่อเข้ามาแล้วต้องพัฒนาตนเอง ร่วมมือทุกภาคส่วนเพื่อทำงาน ก็พอใจผลงานบางส่วนแต่ยังไม่พอใจถึงที่สุด เพราะปัญหาที่ท้าทายและยังแก้ไม่เสร็จยังมีอีกหลายเรื่อง ต้องใช้เวลา อีกทั้งยังไม่ได้การยอมรับจากต่างประเทศ เป็นความท้าทายที่ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจ และการสื่อสารที่ตรงกัน ต้องให้นโยบายประชารัฐแสดงพลังที่ร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนให้เป็นรูปธรรม
การทำงานวันนี้ในตำแหน่งรัฐมนตรี ต้องบริหารในทุกๆ ด้าน แบ่งการทำงานตามความเร่งด่วน จำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้านมาร่วมทำงาน รวมทั้งต้องใช้ประสบการณ์กว่า 30 ปีมาปรับใช้ มีหลายบริบทแตกต่างจากการทำงานตอนเป็นทหารต้องอาศัยทีมเวิร์กที่ดี เพราะตอนเป็นผู้บัญชาการทหารอากาศจะไม่มีความกดดันเทียบเท่ากับการทำงานในบริบทของการเมือง
แอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย และเครือข่ายพลเมืองเน็ต คัดค้าน พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. … (พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์)
ในรายละเอียดแต่ละมาตราผมจำไม่ได้ แต่จำได้ว่าการที่มี พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. … เนื่องจากว่าในโลกยุคโลกาภิวัตน์ หรือโกลบอลไลเซชั่น เข้ามาในชีวิตประจำวันมากขึ้น ใช้ในหลายกิจการ รวมถึงการพูดจาในพื้นที่สาธารณะหรือโซเชียลมีเดีย ดังนั้นการที่เราจะดูแลการละเมิดสิทธิ การให้ร้ายบิดเบือนข้อเท็จจริง เป็นเรื่องสำคัญจึงต้องมี พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯเข้ามา การบังคับใช้ก็พบว่ายังมีปัญหาที่ไม่สามารถจะดูแลความถูกต้องเรื่องข้อมูลข่าวสาร การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล การละเมิดกฎหมายได้ เข้าใจว่า พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ฉบับแก้ไขผ่าน ครม.ไปยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ดังนั้น ผู้ที่ดูแลน่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านคอมพิวเตอร์ ด้านกฎหมาย ต้องดูแล ส่วนตัวเห็นความสำคัญว่า พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ต้องออกมาให้ทันสมัยเหมาะสมกับยุคปัจจุบัน
ข้อเรียกร้องให้ทบทวนและแก้ไขร่างกฎหมาย 3 มาตรา อาทิ มาตรา 14 มาตรา 15 มาตรา 20 ที่กระทบกับสิทธิเสรีภาพของประชาชน
ข้อมูลที่ไหลมาตามท่อ หรือหลายเครือข่ายหลายเส้นทางทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีหลายบริษัทที่ให้บริการ บางที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองกฎหมาย แต่บางครั้งละเมิดกฎหมาย บางส่วนมาจากต่างประเทศซึ่งเราไม่สามารถเข้าถึงได้ การที่มีการละเมิดทางเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทำให้รัฐบาลนิ่งนอนใจไม่ได้ ต้องหาวิธีการต่างๆ เพื่อปรับปรุงแก้ไข บทบาทหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเข้ามาดูแลอย่างใกล้ชิด ต้องแก้ไข พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เพื่อควบคุมให้รอบคอบรัดกุมยิ่งขึ้น
แต่กรณีของซิงเกิล เกตเวย์ มีกระแสตั้งแต่ปลายปี 2558 รัฐบาลยืนยันว่ายังไม่มีการดำเนินการเรื่องซิงเกิล เกตเวย์ทั้งสิ้น อาจมีการพูดคุยและศึกษา ข้อดีข้อเสียว่าเป็นอย่างไร แต่ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ดังนั้น ข้อห่วงใยว่ารัฐบาลจะแอบทำซิงเกิล เกตเวย์ แล้วมีการล้วงความลับนั้น ยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่มี เราเข้าใจประเด็นนี้แน่นอน จึงเร่งรัดกฎหมายเกี่ยวกับการละเมิดด้านคอมพิวเตอร์มาใช้งานให้เร็วที่สุด จะมีแน่นอนในการปรับหน่วยงานเพื่อให้มีประสิทธิภาพเพิ่มความเข้าใจบริบทในกฎกติกา
ประเด็นการเรียกร้องเรื่องสัมปทานพลังงาน
หากดูจากความเป็นมา รัฐบาลเข้ามามีหลายเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน 1.ราคาพลังงานสูง 2.กองทุนน้ำมันติดลบ 3.มีปัญหาการตัดสินใจการออก พ.ร.บ.เพื่อที่จะต่อสัมปทานที่จะหมดลง 2 แห่ง และการออก พ.ร.บ.ที่จะออกเรื่องสัมปทานและจัดเก็บภาษี ยังไม่เคลียร์กันในเรื่องนี้ เรื่องการเรียกร้องให้ บริษัท ปตท.แปรสภาพกลับมาเป็นของรัฐ จะเห็นว่าแต่ละเรื่องรัฐบาลในปัจจุบันแก้ไขค่อนข้างจะเป็นบวก ราคาน้ำมันเห็นได้ชัด แม้กระแสน้ำมันของโลกจะลดแต่ไทยได้ลดราคามาก่อนและทำให้ระดับน้ำมันเกิดประโยชน์กับทุกฝ่ายตั้งแต่ผู้ประกอบการ ผู้ใช้บริการ ภาคการขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม เรื่องกองทุนน้ำมันติดลบ 71,000 ล้านบาท ตอนนี้เริ่มเป็นบวก ส่วนเรื่อง พ.ร.บ.ที่เกี่ยวกับการสัมปทาน จะไม่ต่อสัมปทานให้บริษัทเดิมจะเปิดให้มีการประมูล กับ พ.ร.บ.สัมปทานตรวจหา สำรวจ หรือที่เรียกว่า สัมปทานรอบที่ 21 เราไม่เรียกว่าสัมปทาน แต่เรียกว่าการเปิดประมูลค้นหา ตรวจหาแหล่งเชื้อเพลิงรอบใหม่ เพื่อเปิดโอกาสสัมปทาน เรื่องแบ่งปันผลผลิต การจ้างผลิต
ในอนาคตเชื่อว่าการประมูลจะเป็นการคัดเลือกผู้ค้นหาแหล่งพลังงานรอบใหม่ สิ่งที่รัฐบาลได้ทำเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุด เพียงแต่ยังมีกลุ่มบางกลุ่มที่ยังไม่เข้าใจ อาจยังมีบางประเด็นที่มาร้องเรียน รวมถึงกระแสการยึดบริษัท ปตท.คืนมา ต้องเข้าใจว่า ปตท.เป็นบริษัทรัฐวิสาหกิจในรูปแบบมหาชนแล้ว ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจแบบเดิมที่รัฐดูทุกอย่าง เป็นหุ้นที่ประชาชนซื้ออยู่ในตลาดหุ้น การที่จะทำแบบนั้นต้องมีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ จำเป็นต้องทำความเชื่อมั่นนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ตรงนี้ต้องใช้เวลานิดนึงว่าควรจะทำหรือไม่อย่างไร หรือการสร้างแหล่งพลังงานใหม่ๆ ขึ้นมา การสร้างพลังงานทดแทนฟอสซิลแบบเดิม ยังไม่เป็นที่เข้าใจอย่างแท้จริง มีผู้ต่อต้านไปตามกระแส ต่อต้านไปตามหน้าที่ ขัดกับความต้องการที่แท้จริงของประชาชน ทุกอย่างที่รัฐบาลทำมาอยากให้เห็นความสำคัญ ว่าทุกอย่างเป็นประโยชน์ต่อประชาชน