เบื้องหน้ากระแสกดดันให้เปลี่ยนตัว “หัวหน้าพรรค”เพื่อเป็นเช่นกับ “กระดานหก” ไปสู่การ “ปรับครม.”ท่าทีของรัฐมนตรีและส.ส.บางคนของพรรคพลังประชารัฐน่าศึกษา
เป็นท่าทีอย่างเดียวกันกับของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นท่าทีอย่างเดียวกันกับของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
นั่นก็คือ ไม่เห็นด้วยกับ”การเคลื่อนไหว”แบบนี้
นั่นก็คือ มองว่าเป็นการฉวยโอกาสในทางการเมือง เพราะภาระหน้าที่อันหนักหน่วงในขณะนี้คือ การรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19
นั่นก็คือ มองว่า “การเคลื่อนไหว”ในลักษณะนี้คือการทำให้ ปัญหาของชาติบ้านเมืองกลายเป็นปัญหาการเมือง
ต้องยอมรับว่าเป็น”เหตุผล”ที่”หล่อ”อย่างยิ่ง
เหมือนกับว่าเมื่อบรรดารัฐมนตรีในกลุ่ม”4 ยอดกุมาร”และบรรดาบริวารใน”ไฟลั่ม”เดียวกันอ้างเหตุผลในกระสวนเดียวกันกับของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แล้ว
1 จะสามารถสยบบรรดา”นักฉวยโอกาส”ทางการเมืองภายในพรรคพลังประชารัฐลงได้
1 จะทำให้เป็นฝ่าย”กำชัย”และอยู่รอดปลอดภัยโดยราบรื่น
กระนั้น เมื่อทบทวน “เส้นทาง”และ”กระบวนการ”ของข่าวที่
“หลุด”ออกมาอย่างเป็นระบบ บน”ช่องทาง”เดียวก็จะทำให้ตัวตน ที่แท้ของบรรดา”นักปล่อยข่าว”อย่างเด่นชัด
ไม่ว่าจะเป็น “เสี่ย ส.” ไม่ว่าจะเป็น “2 เสี่ย ฮ.”ซึ่งตกเป็นเป้า และกลายเป็น “เหยื่อ” ภายในกระบวนการ “ปล่อยข่าว”ก็น่าจะประจักษ์ในเส้นสนกลในอย่างปรุโปร่ง
จึงแทนที่จะ”สยบ”ปัญหากลับเป็นการ”สร้าง”ปัญหาขึ้นมา
ถามว่า “ปัญหา”อันดำรงอยู่อย่างแท้จริงภายในพรรคพลังประชา รัฐคืออะไร ไม่ต้องเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ต้องเป็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ตอบได้
ตอบได้ว่า คือ การจัดสรรตำแหน่ง แบ่งผลประโยชน์ให้แต่ละ กลุ่มทางการเมืองอย่างไม่ลงตัว
แม้กระทั่งการจัดคนไปอยู่ในตำแหน่ง “รัฐมนตรี” และตำแหน่ง “รัฐมนตรีช่วย” ก็สะท้อนลักษณะเหลื่อมล้ำอย่างที่เห็นเด่นชัดในกระทรวงการคลัง
ปัญหานี้ดำรงอยู่ตั้งแต่เมื่อเดือนมิถุนายน 2562 และมาเบ่งบวมอย่างรุนแรงในเดือนเมษายน 2563
วิธีการเอาหนามบ่งหนามจึงไม่ยุติ”ปัญหา”อันหมักหมมได้