ดัชนีความเชื่อมั่นชาวใต้ต่อรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจและสังคมดิ่งเหว จากพิษโควิด ฟันธงสอบตก

ดัชนีความเชื่อมั่นประชาชน14 จว.ภาคใต้ต่อรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจและสังคม “ดิ่งเหว” จากพิษระบาดโควิด ฟันธงรัฐบาล“สอบตก” การแก้ปัญหาปากท้อง เสนอแนะรัฐบาล 10 ข้อ

เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ผศ.ดร.วิวัฒน์ จันทร์กิ่งทอง ผู้จัดการศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางธุรกิจ ศูนย์วิจัยนวัตกรรมทางธุรกิจ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่เปิดเผยว่าผลการสำรวจความเชื่อมั่นของประชาชน 14 จังหวัดภาคใต้ 420 ตัวอย่าง ด้านเศรษฐกิจและสังคมเดือนเมษายน เปรียบเทียบกับเดือนมีนาคม พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนโดยรวมปรับตัวลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมีนาคม

“ปัจจัยลบที่เป็นต้นเหตุของปัญหาทั้งหมดคือ การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ลุกลามและแพร่ระบาดเกือบทุกจังหวัดในภาคใต้ มีส่วนหนึ่งมีความพึงพอใจคือ แนวทางการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ของภาครัฐ โดยการนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่สามารถควบคุมโรคโควิด-19 ไม่ให้ลุกลามบานปลายจนเกิดการเสียชีวิตของประชาชนจำนวนมาก”ผศ.ดร.วิวัฒน์กล่าว

ผศ.ดร.วิวัฒน์กล่าวว่าประชาชนกลับมองว่า ภาครัฐไม่สามารถแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง ทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบ เนื่องจากไม่มีรายได้ในการดำรงชีพ เพราะอยู่ในช่วงประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และสั่งปิดสถานประกอบการ ทำให้ประชาชนตกงานจำนวนมาก และส่วนหนึ่งไม่มีเงินแม้กระทั่งจะซื้อข้าวกิน ต้องรอลุ้นเงินเยียวยาจากภาครัฐ และรอรับของบริจาคจากหน่วยงานหรือผู้ใจบุญ

ผศ.ดร.วิวัฒน์กล่าวว่าภาครัฐควรบริหารประเทศในช่วงวิกฤตไวรัสโควิด-19 ให้เกิดความสมดุล ระหว่างปากท้องของประชาชนกับการป้องกันโรคโควิด-19 ไม่ให้แพร่ระบาดและกลับมาอีกในระลอก 2 เหมือนประเทศญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ซึ่งนับว่าเป็นปัญหาที่ท้าทายอย่างมากสำหรับภาครัฐต่อการตัดสินใจในสถานการณ์ที่วิกฤตอยู่ในขณะนี้

Advertisement

ผศ.ดร.วิวัฒน์เปิดเผยว่าการสัมภาษณ์ในหลายสาขาอาชีพ เพื่อรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้น แนวทางการแก้ไข และความคิดเห็นต่อมาตรการของภาครัฐ

1.ภาครัฐมีมาตรการควบคุมโรคระบาดโควิด-19 เพื่อช่วยเหลือและดูแลประชาชนในหลายๆด้าน ซึ่งครอบคลุมหลากหลาย ภาคธุรกิจเอกชน ประชาชนและผู้ด้อยโอกาส แต่ส่วนหนึ่งขาดความเข้าใจและการเข้าถึงมาตรการความช่วยเหลือคือ ที่ไม่มีสมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ตเช่น ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส ควรเพิ่มช่องทางอำนวยความสะดวกให้คนกลุ่มนี้

2.ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ประชาชนในหลายชุมชนได้รับความเดือดร้อน และไม่สามารถเข้าถึงการช่วยเหลือจากภาครัฐหรือภาคเอกชนได้ ภาครัฐจัดทำถุงยังชีพ ที่เป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต นำไปแจกให้ตามชุมชนต่างๆอย่างทั่วถึงในทุกสัปดาห์ เป็นระยะเวลา 2-3 เดือน หรือจนกว่าสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 จะคลี่คลายเป็นปกติ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ควรมีการตรวจสอบถึงสิ่งจำเป็นในถุงยังชีพ และราคาสินค้าที่ตรงกับความเป็นจริง

Advertisement

3. ประชาชนที่ตกงานส่วนหนึ่งไม่มีเงินเก็บ และไม่มีรายได้เสริมอื่นๆ ทำให้ไม่มีเงินที่จะซื้อข้าวกิน หวังว่าจะมีที่ไหนประกาศการบริจาคข้าวกล่อง จะไปต่อคิว แม้จะเดินทางไกลแค่ไหนและจะร้อนเพียงใดก็ยอม เพียงขอให้มีอาหารประทังชีวิตอยู่ได้ เสนอให้ภาครัฐควรจัดสรรงบประมาณส่วนหนึ่งในการจัดตั้งโรงทานในแต่ละชุมชนทั่วประเทศ 2-3 มื้อต่อวัน เป็นระยะเวลา 2-3 เดือน หรือจนกว่าสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 จะคลี่คลายเป็นปกติ เพื่อช่วยให้ประชาชนไม่ต้องอดอยาก และมีอาหารกินอย่างแน่นอน

4.มาตรการเคอร์ฟิวเพื่อควบคุมประชาชนในช่วงเวลา 04.00 -22.00 น. ทำให้ประชาชนภาคใต้ที่จำเป็นต้องประกอบอาชีพในช่วงเวลาดังกล่าว ได้แก่ชาวสวนยางพารา ชาวประมง เสี่ยงต่อการกระทำผิด เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายควรผ่อนปรนให้ประชาชนได้ประกอบอาชีพอย่างเหมาะสม

5.จัดตั้งคลินิกด้านสุขภาพจิตในแต่ละชุมชนเพื่อให้คำปรึกษา และให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 เกิดความเครียดสะสม มีความวิตกกังวล จนเกิดเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งนับวันจะมีผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้ามากขึ้น มีการฆ่าตัวตาย และการคิดฆ่าตัวตายในแต่ละวัน

“ผู้ที่ฆ่าตัวตายเนื่องจากโรคซึมเศร้าในช่วงที่ผ่านมา อาจจะมากกว่าผู้ป่วยที่เสียชีวิตด้วยโรคโควิด-19 เพราะผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้าเมื่อเข้าสู่ขั้นรุนแรง ผู้ป่วยจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้และไม่อยากมีชีวิตอยู่”

6. ภาครัฐควรมีการตรวจสอบการให้ข้อมูลที่เป็นเท็จของประชาชน สำหรับที่รับความช่วยเหลือจากมาตรการต่าง ๆ เพื่อลดความผิดพลาดในการช่วยเหลือ เนื่องจากบางกลุ่มไม่ใช่ผู้เดือดร้อนจริง แต่ได้รับเงินเยียวยาจากภาครัฐ ในขณะที่เดือดร้อนกลับไม่ได้รับเงิน ทำให้เกิดความรู้สึกน้อยใจ และไม่เชื่อมั่นกับระบบการคัดกรองของระบบปัญญาประดิษฐ์ รู้สึกถึงความเหลื่อมล้ำในการให้ความช่วยเหลือของภาครัฐ

7. ภาครัฐควรผ่อนปรนให้รถโดยสารสาธารณะกลับมาให้บริการประชาชนในพื้นที่เสี่ยงโรคน้อยตามความเหมาะสม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ต้องเดินทางไปทำงานและช่วยเหลือผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะ

8.การแถลงของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) พบว่ายอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เดือน เม.ย. มียอดผู้ติดเชื้อที่ลดลงนับว่ามีแนวโน้มในทางที่ดีขึ้น แต่มีข้อสงสัยในเรื่องของจำนวนผู้เข้าตรวจเชื้อโควิด-19 ว่ามีจำนวนเท่าไรต่อวัน คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของผู้ติดเชื้อต่อการตรวจในแต่ละวันจำนวนเท่าไร ควรแสดงให้เห็นถึงจำนวนการตรวจของแต่ละจังหวัดว่าในแต่ละวันจำนวนกี่ราย และมีผู้ติดเชื้อกี่ราย คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์

“หากมีการตรวจเชื้อจำนวนน้อย ย่อมพบผู้ติดเชื้อน้อย โดยเฉพาะจังหวัดที่ไม่มีการติดโรคโควิด-19 ในแต่ละวันมีการตรวจเชื้อจำนวนเท่าไร ซึ่งข้อมูลในส่วนนี้ ศบค. ไม่ได้แสดงให้ประชาชนได้รับทราบ”

9.ควรจะมีเครื่องตรวจเชื้อโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพ และสามารถทราบผลได้อย่างรวดเร็ว ไว้ตามโรงพยาบาลต่างๆครอบคลุมทุกจังหวัด และสามารถตรวจฟรีให้กับประชาชนที่มีอาการไข้สูงเกิน 37.5 องศาเซลเซียส เพื่อลดความสุ่มเสี่ยงที่จะมีผู้ป่วยที่ติดเชื้อนำไปแพร่สู่ผู้อื่น
“ประชาชนจำนวนหนึ่งได้ให้ข้อมูลว่า พวกเขามีไข้สูงเกิน 37.5 องศาเซลเซียส ตัวร้อน ไอ จาม และเจ็บคอ จึงเข้าไปขอตรวจเชื้อกับสถานพยาบาล

“มีเจ้าหน้าที่ได้ซักถามว่าได้ไปใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือไม่ เขาตอบว่าไม่มี เจ้าหน้าที่บอกว่าหากจะตรวจก็ได้ แต่หากไม่พบเชื้อไวรัสโควิด-19 ผู้ตรวจจะต้องจ่ายค่าตรวจเอง ผู้ป่วยส่วนหนึ่งจึงตัดสินใจไม่ตรวจ เพราะไม่มีเงินจ่ายค่าตรวจ หากผู้ป่วยเหล่านี้เพียง 1 คนได้รับเชื้อโควิด-19 แทนที่จะได้รับการรักษา กักตัวไว้ แต่กลับปล่อยให้กลับบ้าน อาจจะนำเชื้อไปแพร่ระบาดกับผู้อื่นต่อไป”

10. ภาครัฐควรจัดสรรงบประมาณจำนวนหนึ่งให้กับหน่วยงานวิจัยของไทยในการคิดค้นวัคซีน และยารักษาโรคโควิด-19 ถึงแม้ว่าเชื้อไวรัสโควิด-19 จะหายขาดไปแล้วจนไม่พบผู้ติดเชื้ออีกเลย เป็นระยะเวลาหลายเดือนหรือเป็นปีก็ตาม แต่ก็ไม่แน่ว่าเชื้อไวรัสโควิด-19 จะกลับมาอีกเมื่อไหร่ก็ได้ หรือจะกลายพันธุ์เป็นเชื้อไวรัสโควิด-20 แต่หากมีวัคซีนป้องกัน และยารักษาโรค การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ก็จะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป

“หลังวิกฤตโควิด-19 การดำเนินชีวิตของคนจะเปลี่ยนไป หากไม่จำเป็นจะไม่ไปในที่มีคนพลุกพล่าน ผู้คนจะไม่กล้าเข้าใกล้ชิดกันมาก จะเว้นระยะห่างทางสังคม เพราะไม่มีใครไว้ใจใคร และเมื่อพบใครเป็นหวัด ไอ จาม หรือมีไข้สูง ก็จะรีบถอยห่างอย่างรวดเร็ว ผู้ป่วยดังกล่าวอาจจะไม่ได้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่จะถูกคนในสังคมรังเกียจ และไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ประชาชนส่วนใหญ่จะใส่แมสก์ หรือเฟสชิว เมื่อต้องออกไปพบกับผู้อื่น”

ผศ.ดร.วิวัฒน์เปิดเผยว่าพฤติกรรมผู้บริโภคก็จะเปลี่ยนไป การสั่งซื้อสินค้าหรืออาหารผ่านทางออนไลน์มากขึ้น การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงาน การประชุม การสัมมนาก็จะใช้ระบบการสื่อสารทางออนไลน์มากขึ้น เพราะประหยัดเวลา ประหยัดค่าใช้จ่าย แต่ยังมีประสิทธิภาพเท่าเดิม หน่วยงานต่างๆควรมีการปรับตัวไปในทิศทางเดียวกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

ผศ.ดร.วิวัฒน์เปิดเผยว่ากลุ่มแม่บ้านเกษตรกร กลุ่มวิสาหกิจชุมชน กลุ่มผลิตภัณฑ์ OTOP ร้านค้าปลีกขนาดเล็ก ร้านอาหาร หาบเร่ แผงลอย ส่วนใหญ่เป็นชาวบ้าน เป็นกลุ่มรากหญ้าซึ่งไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับนวัตกรรม เทคโนโลยีสมัยใหม่ ภาครัฐควรหาแนวทางช่วยเหลือให้สามารถดำเนินงานได้อย่างราบรื่น และสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน

“ปัจจัยที่ประชาชนส่วนใหญ่มองว่ามีผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันมากที่สุด คือค่าครองชีพ คิดเป็นร้อยละ 28.30 รองลงมา คือ ราคาสินค้าสูง คิดเป็นร้อยละ 24.80 และราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำร้อยละ12.30 ปัญหาเร่งด่วนที่รัฐบาลควรให้ความช่วยเหลือเป็นอันดับแรกคือ ค่าครองชีพ รองลงมาคือสินค้าราคาสูง”ผศ.ดร.วิวัฒน์กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image