ปฏิรูป ตร.ประเดิมยกเครื่อง 514 โรงพักทั่ว ปท. ‘จูดี้’นำทีมลุย ขีดเส้น 1 ปีเห็นผล ชูทำงานแบบบูรณาการ จัดสอบสวน สืบสวน นิติวิทย์ อยู่ในทีมเดียวกัน คาดโทษหากไม่คืบเด้งกราวรูดตั้งแต่ ผบช.-ผบก.-หัวหน้าโรงพัก
เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานขับเคลื่อนและประสานงานการปฏิรูปองค์กรตำรวจ กล่าวถึงความคืบหน้าการปฏิรูปองค์กรตำรวจใน 10 ประเด็นว่า ทั้งหมดเริ่มดำเนินการไปพร้อมๆ กันแล้ว เปรียบเสมือนขบวนรถไฟจำนวน 10 โบกี้ ที่เริ่มต้นเดินทางออกจากสถานีแล้ว โดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ทำหน้าที่ในการนำรถไฟขบวนปฏิรูปนี้ไปให้ถึงปลายทาง มีทั้งสถานีเร่งด่วน 1 ปี สถานีกลางทาง 5 ปี และสถานีสุดท้ายเมื่อครบ 20 ปี โดยข้าราชการตำรวจทุกนายและในทุกระดับที่อยู่ร่วมขบวนการปฏิรูปต้องร่วมกันดำเนินการอย่างเต็มที่
“หากตำรวจคนใดไม่ใส่ใจดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปในการทำหน้าที่ของตนเอง หรือการปฏิรูปกระบวนการในการทำงานให้ถูกต้องชอบธรรมตามกฎหมาย หรือระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ผบ.ตร.จะถือว่าเป็นผู้ที่ขัดขวางการดำเนินการในการปฏิรูป จะต้องถูกพิจารณาดำเนินการต่อไป” พล.ต.อ.พงศพัศกล่าว
พล.ต.อ.พงศพัศกล่าวต่อว่า สำหรับการปฏิรูปที่มีความสำคัญและกำลังเป็นที่จับตาของสังคมและประชาชนโดยทั่วไป และเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการอย่างเข้มข้นต่อเนื่องให้เห็นเป็นรูปธรรม คือการปฏิรูปงานสอบสวนและการบังคับใช้กฎหมาย ในการดำเนินการในระยะเร่งด่วนและต้องแล้วเสร็จภายใน 1 ปี คือการปฏิรูปงานสอบสวนของสถานีตำรวจที่มีจำนวนคดีรับแจ้งเป็นจำนวนมาก แต่มีพนักงานสอบสวนไม่เพียงพอต่อการทำหน้าที่ มีผลทำให้เกิดความล่าช้าและบกพร่องต่อสำนวนการสอบสวน ขาดการเอาใจใส่ดูแลจากผู้บังคับบัญชา รวมทั้งขาดทีมงานด้านการสืบสวน การพิสูจน์หลักฐาน และงานนิติวิทยาศาสตร์ เป็นงานสำคัญต่อการอำนวยความยุติธรรมในเบื้องต้น จะต้องดำเนินการควบคู่กันไปตั้งแต่การรับแจ้งความ
“สำหรับสถานีตำรวจที่จำเป็นจะต้องปฏิรูประบบการสอบสวนให้แล้วเสร็จภายในระยะเร่งด่วน 1 ปี มีจำนวนทั้งสิ้น 514 แห่ง เป็นสถานีตำรวจในสังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) 30 แห่ง กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 (บช.ภ.1) จำนวน 54 แห่ง บช.ภ.2 จำนวน 65 แห่ง บช.ภ.3 จำนวน 60 แห่ง บช.ภ.4 จำนวน 77 แห่ง บช.ภ.5 จำนวน 37 แห่ง บช.ภ.6 จำนวน 32 แห่ง บช.ภ.7 จำนวน 32 แห่ง บช.ภ.8 จำนวน 60 แห่ง บช.ภ.9 จำนวน 39 แห่ง และศูนย์ปฏิบัติการตำรวจชายแดนภาคใต้ (ศชต.) จำนวน 28 แห่ง ทั้งหมดจะต้องจัดชุดพนักงานสอบสวนแบบบูรณาการและพื้นที่รับแจ้งความแบบเสร็จสิ้น ณ จุดเดียว เพื่อคอยให้บริการแก่ประชาชนและรับผิดชอบทำสำนวนการสอบสวนด้วยความถูกต้อง รวดเร็ว เป็นธรรม เกิดความเท่าเทียม และสร้างความไว้วางใจให้กับคู่กรณีในการดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ ที่จะต้องเป็นไปด้วยความโปร่งใส” พล.ต.อ.พงศพัศกล่าว
รอง ผบ.ตร.กล่าวอีกว่า ชุดพนักงานสอบสวนแบบบูรณาการจะต้องมีพนักงานสอบสวนหัวหน้าทีม 1 นาย พนักงานสอบสวนประจำทีม 2 นาย ฝ่ายสืบสวน 2 นาย ผู้ช่วยพนักงานสอบสวน 2 นาย รวมทั้งทีมสนับสนุนที่เป็นเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน นิติวิทยาศาสตร์ เสมียนคดี วัสดุอุปกรณ์ และยานพาหนะ ทั้งนี้เพื่อให้กระบวนการรับแจ้งความ การสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน และการมีความเห็นทางคดีเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรมอย่างแท้จริง
พล.ต.อ.พงศพัศกล่าวต่อว่า สำหรับสถานีตำรวจที่เหลืออีก 982 แห่ง จะปฏิรูปไปพร้อมๆ กัน แต่ได้กำหนดกรอบระยะเวลาให้แล้วเสร็จภายในกำหนด 5 ปี ระหว่างที่ปฏิรูปการจัดชุดพนักงานสอบสวนแบบบูรณาการนั้น จะมีการปฏิรูปและพัฒนาตัวพนักงานสอบสวนไปพร้อมๆ กัน จะฝึกอบรมที่เน้นไปในเรื่องขององค์ความรู้ ทางด้านกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ รวมทั้งการประพฤติปฏิบัติตัวตามแนวทางที่ถูกต้องต่อการเป็นพนักงานสอบสวนที่ดีมีคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณของพนักงานสอบสวนอย่างครบถ้วน
“การปฏิรูปใน 10 ประเด็น มีกรอบเวลากำหนด ให้แต่ละหน่วยปฏิบัติ อาทิ 3 เดือน 6 เดือน พนักงานสอบสวนต้องทำภายใน 1 ปี ถ้าผู้กำกับการ (ผกก.) หรือหัวหน้าสถานีโรงพักไหนไม่ทำ จะโยกย้าย สมมุติว่าใน บช.น.มี 30 แห่ง แต่ไม่ทำสัก 10 แห่ง คนรับผิดชอบอาจเป็นในระดับผู้บังคับการ (ผบก.) หรือผู้บัญชาการ (ผบช.) ต้องรับโทษ ที่ไม่ใส่ใจปฏิบัติตามนโยบายปฏิรูป” รอง ผบ.ตร.กล่าว