‘ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ’ ร่ายยาว สลายชุมนุม’53 ‘นปช.แพ้จริงหรือ?’ ขอโทษทำได้เท่านี้ แต่จะเดินหน้าต่อ

‘ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ’ ร่ายยาว สลายชุมนุม’53 ‘นปช.แพ้จริงหรือ?’ ขอโทษทำได้เท่านี้ แต่จะเดินหน้าต่อ

เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำ นปช. เผยแพร่ข้อเขียนผ่านเพจ “ยูดีดีนิวส์ UDD news” ในวาระครบรอบ 10 ปี สลายชุมนุม นปช. ที่แยกราชประสงค์

นายณัฐวุฒิระบุว่า 10 ปีแล้วที่การชุมนุมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเรียกร้องการเลือกตั้งใหม่ของ นปช.จบลงด้วยความตาย หยดเลือด คราบน้ำตายังไม่เหือดหาย

“เรา” ถูกจัดวางบนหน้าประวัติศาสตร์ให้เป็นผู้แพ้ ตลอดทศวรรษที่ทุกกลไกอำนาจนิยมทุ่มสรรพกำลังเบียดขับให้พ้นจากพื้นที่ทางการเมืองของสังคมไทย แต่คนเสื้อแดงยังอยู่

Advertisement

“เรา” อยู่ในฐานะผู้แพ้จริงหรือ ?

จุดยืนในการต่อสู้ หลักการที่ยึดกุมอย่างมั่นคง ข้อเรียกร้องที่ปรากฏชัดบนเวทีชุมนุม สาระทางการเมืองที่กู่ก้องมายาวนาน ถูกทำลายลงสิ้น ไม่ได้ยินผู้คนพูดถึงในปัจจุบันกระนั้นหรือ ?

เปล่าเลย …

Advertisement

จุดยืนประชาธิปไตย ต่อต้านรัฐประหาร เรียกร้องรัฐธรรมนูญที่ชอบธรรมทั้งที่มา เนื้อหา และการบังคับใช้ ต้องการเลือกตั้งเสรี โปร่งใส ภายใต้กติกาที่เป็นธรรม ไม่ยอมรับยุติธรรมสองมาตรฐาน ปฏิเสธอำนาจนอกระบบ ไม่สยบต่อเผด็จการอำนาจนิยม

สิ่งเหล่านี้ยังดำรงอยู่ ผู้มีบทบาททางการเมืองกลุ่มใหม่ๆ นิสิต นักศึกษา คนหนุ่มสาว ประชาชนผู้สนใจการเมืองมากมายมหาศาลต่างยังพูดถึงและต่อสู้ในจุดยืนและข้อเรียกร้องเดียวกัน

ต่างกับคนบางกลุ่ม

พวกเขาต้องสถานปาหลักการ ความเชื่อ และข้อเรียกร้องใหม่ตลอดเวลาเพื่อสนองรับวิถีเผด็จการ แม้กระทั่งถอดวางสถานะเจ้าของอำนาจอธิปไตย สนับสนุนให้คนกลุ่มเดียวรัฐประหาร สร้างกติกาสูงสุดเพื่อสืบทอดอำนาจ นำพาบ้านเมืองไปด้วยกลไกตรวจสอบพิกลพิการเพียงใดก็รับได้

การเมืองใหม่แต่งตั้ง 70 เลือกตั้ง 30 สภาประชาชน ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ต่อต้านเผด็จการรัฐสภา ฯลฯ

วันนี้มีแต่ความว่างเปล่า หลายคนถึงกับอับอายที่จะพูดถึงมันและตีบตันในการอธิบายทั้งในหลักการและรูปธรรม บางเรื่องต้องรับเอาไว้เสียเองทั้งที่เคยแสดงท่าทีเดียดฉันท์ เช่น การมีอยู่และบทบาทของวุฒิสภา 250 คนในปัจจุบัน

นายณัฐวุฒิระบุด้วยว่า “เรา” ไม่ใช่ตัวบุคคลหรือกลุ่มบุคคล ไม่ได้ชี้วัดด้วยสีเสื้อที่สวมใส่ แต่ “เรา” คือพลังของประชาชน
….
เมื่อ “เรา” คือสิ่งนี้จึงไม่มีวันหายไป
….

“เรา” มีทั้งผู้เผชิญสถานการณ์เมื่อสิบปีที่แล้ว และผู้ไม่อยู่ในเหตุการณ์แต่รับรู้ เข้าใจ เห็นใจ หรือกระทั่งมิได้รู้สึกอันใดแต่ประสงค์จะนำพาสังคมไทยไปในทิศทางเดียวกัน

“เรา” ต้องแบกรับคำว่าพ่ายแพ้ที่ถูกเขียนขึ้นด้วยกระบอกปืนของผู้มีอำนาจ โดยมีหยดเลือดของพวกเราเป็นหยาดหมึก

แต่ “เรา” สร้างชัยชนะได้ด้วยอำนาจของตัวเองผ่านการเลือกตั้งตลอดมา

ใช่…

กว่า 10 ปีแล้วที่ “เรา” ชนะในวิถีทางประชาธิปไตยตลอดเวลา

นี่คือสิ่งที่ “เรา” ต่อสู้ และนี่คือชัยชนะที่ได้มา แม้กระทั่งผู้เผด็จการก็ยังซุกตัวอยู่ใต้ความชอบธรรมนี้ โดยอ้างว่าก่อรัฐประหารเพื่อสร้างประชาธิปไตย

“เรา” มิเคยต่อสู้เพื่อสร้างเผด็จการ พวกเขาต่างหากที่ต้องบดบังซากร่างที่แท้จริงของตนใต้เสื้อคลุมประชาธิปไตย

แต่ชัยชนะของ “เรา” ไม่ยั่งยืน มิอาจต้านอิทธิฤทธิ์มหาศาลของขบวนการอำนาจนิยม จนกว่าความหมายของคำว่า “เรา” จะขยายตัวและทรงพลังยิ่งกว่านี้

“เรา” ต้องหมายถึงประชาชนทั้งหมด แม้จะคิดแตกต่างหรือกระทั่งเกลียดชังกัน แต่ “เรา” ต้องไม่เป็นท่อนฟืนของเปลวไฟเผด็จการ ไม่เป็นสะพานให้อำนาจนิยมเดินข้ามหัวไปแสวงหาผลประโยชน์

“ผมเป็นแกนนำ นปช.ที่ชีวิตยังผูกติดกับเหตุการณ์เมษา-พฤษภา 2553 มิใช่ด้วยความชิงชังคลั่งแค้น แต่เป็นความรับผิดชอบในฐานะแกนนำที่ต้องแสวงหาความจริงและความยุติธรรมให้คนตาย อย่าได้กังวลว่าจะสร้างความแตกแยก เพราะความยุติธรรมเป็นบ่อเกิดแห่งสามัคคี และสามัคคีเท่านั้นที่จะสร้างอนาคตที่งดงามให้ประเทศชาติและประชาชน

10 ปีที่แล้วมีคนเกือบ 100 ชีวิตถูกยิงตายกลางถนน ทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่ไม่ควรมีใครต้องสูญเสีย เราทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้พวกเขาตลอดมา ถึงเวลาจะอุทิศความยุติธรรมบ้างหรือยัง ?

ทุกประเทศดำรงอยู่ด้วยความหลากหลาย ไม่มีทางที่แนวคิดฝ่ายใดจะอยู่ลำพัง และไม่มีทางที่คนอีกฝ่ายจะสูญสลายหายไป

ผมพร้อมร่วมมือกับคนทุกกลุ่ม เพราะ ‘เรา’ คือประชาชน ปล.ถึงเพื่อนผู้เสียชีวิต เสียใจต่อชะตากรรมของเพื่อนเสมอ ขอโทษที่ยังทำทุกอย่างได้เท่านี้ แต่เราจะเดินหน้าต่อไป”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image