มติครม.ที่จะส่งเรื่อง”การบินไทย”ให้อยู่ในความรับผิดชอบของศาลล้มละลายกลาง เป็นหนทางเลือกที่ไม่เพียงแต่จะให้บรรดาเจ้าหนี้ทั้งหลายได้เข้ามามีบทบาท
ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหนี้ที่อยู่ในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหนี้ที่อยู่ในต่างประเทศ
หากที่สำคัญเป็นอย่างมากยังเท่ากับเป็นการยอมรับของรัฐบาลในสถานะและความเป็นจริงของ”การบินไทย”ว่าดำรงอยู่อย่างไรทั้งในด้านการเงินและการบริหาร
เหมือนกับเป็นการยึดกุมหลักการแห่ง”สัจจะนิยม”และปล่อยวาง”การบินไทย”ออกจากสถานะแห่งความเป็น”สายการบินแห่งชาติ”
แต่ในอีกด้านหนึ่งก็เท่ากับเป็นการยอมรับสถานะที่ไม่เหมือน เดิมอีกต่อไปแล้วของรัฐบาล
ปราการด่านแรกที่สุดของสถานะแห่ง”การบินไทย”พลันที่กระทรวงการคลังลดสัดส่วนการถือหุ้นจากร้อยละ 51 ลงเหลือต่ำกว่าร้อยละ 50
นั่นหมายความว่าสถานะแห่งความเป็น”รัฐวิสาหกิจ”ได้จบลงโดยพื้นฐาน
นั่นหมายความว่าสถานะแห่ง”สหภาพแรงงานพนักงานรัฐวิสาหกิจ”ก็จะต้องแปรเปลี่ยนไปเป็น”สหภาพแรงงานพนักงาน” ตามปกติ
อำนาจการต่อรองของสหภาพแรงงานพนักงานการบินไทยก็จะต้องแปรเปลี่ยน สิทธิและอภิสิทธิ์อันเคยได้จากสถานะเดิมก็จะต้องลดทอนลงไป แม้ครั้งหนึ่งสมัยหนึ่งจะเคยเป็นฐานแห่งอำนาจให้กับการรัฐประหารอย่างสำคัญก็ตาม
นี่คืออำนาจและอภิสิทธิ์ที่จะต้องเสียสละให้กับความล้มเหลวและความผิดพลาดอันเคยเกิดขึ้นในอดีต
ต้องยอมรับว่าอำนาจและความยิ่งใหญ่ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับความกระทบกระเทือนเป็นลำดับนับแต่มีการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2562 เป็นต้นมา
แม้ว่าจะยังสามารถดำรงอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ภายใต้กลไกแห่งอำนาจรัฐที่มีการจัดวางอย่างเป็นระบบ
อย่างน้อยก็ไม่เท่าเทียมกับเมื่อหลังรัฐประหารปี 2557
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แม้จะยังมีพรก.ฉุกเฉินอยู่ในมือก็ตาม
“การบินไทย”จึงเป็นสันปันน้ำอย่างสำคัญแห่ง”อำนาจ”