เสียงจากส.ส. ขอรัฐเลื่อนขึ้นภาษีบุหรี่ 40% ช่วยชาวไร่ยาสูบเร่งด่วน

การทำงานของบรรดาส.ส.ในรัฐสภาคือการนำปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนมานำเสนอทุกแง่มุมในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้รัฐบาลรับฟัง พร้อมกับเสนอทางออกหรือแนวทางแก้ไขบรรเทาความเดือดร้อนนั้น  และหนึ่งในปัญหาความเดือดร้อนที่ถูกพูดถึงอยู่เสมอคือ  ความเดือดร้อนของกลุ่มเกษตรกรชาวไร่ยาสูบทั่วประเทศจำนวนกว่า 50,000 ครอบครัวหรือคิดเป็นจำนวนผู้ได้รับความเดือดร้อนประมาณกว่า 200,000 คน ซึ่งนอกจากกำลังได้รับความเดือดร้อนจากพิษโควิด-19 ที่ทำให้เศรษฐกิจล่มไปทั้งประเทศแล้ว ยังได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเนื่องมาจากการประกาศใช้ พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2560 ที่ทำให้ราคาบุหรี่พุ่งสูงขึ้นจากภาษีที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด

การอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรในช่วงต้นปี 2563 ส.ส.ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านจึงประสานเสียงในทิศทางเดียวกัน คือ ขอให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กลุ่มเกษตรกรชาวไร่ยาสูบทั่วประเทศ  กรณีเร่งด่วนที่สุดมี  2  เรื่อง 1) ขอให้รัฐบาลเลื่อนการขึ้นภาษีบุหรี่อัตรา 40%  ออกไปก่อน และ 2) เร่งอนุมัติงบประมาณจ่ายเงินชดเชยรายได้ให้เกษตรกรจากที่ถูกลดโควตาการปลูกใบยาสูบลงถึง 50%  ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรี กล่าวระหว่างแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ปีที่ผ่านมาว่า“การขึ้นภาษีเหล้า  ยา บุหรี่   ต้องช่วยกัน  ถ้าไม่เหมาะสมก็ปรับใหม่” แต่เวลาล่วงเลยมาจนถึงปัจจุบัน  ดูเหมือนยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จากรัฐบาลในการทบทวนพิจารณานโยบายภาษียาสูบเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในระยะยาวให้เกษตรกร

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวยอมรับในการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อต้นปีเช่นกันว่า ภาษีสรรพสามิตใหม่สร้างปัญหาจริง ซึ่งผิดไปจากความตั้งใจเดิมของรัฐบาลที่ต้องการใช้กฎหมายฉบับนี้เพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมยาสูบไทย โดยข้อกำหนดใหม่ของกฎหมายฉบับนี้ บุหรี่ทั้งของไทยของต่างประเทศ ทุกซองต้องเจอภาษีเหมือนกันคือ ภาษีที่หักเข้ากองทุนผู้สูงวัยและภาษีมหาดไทย  แต่เมื่อประกาศใช้กฎหมายแล้วผลปรากฏว่า ” บุหรี่ในประเทศซึ่งเคยราคาต่ำกว่า 60 บาทต่อซอง กลับเพิ่มขึ้นไปเกินกว่า 60 บาท  พอเจอกับเรื่องการบริหารจัดการเข้า มันก็เลยทำให้บุหรี่ไทยเกิดปัญหา ส่วนจะช่วยอย่างไรเดี๋ยวค่อยไปว่ากัน”  คำกล่าวของนายวิษณุเช่นนี้ เป็นการให้ความชัดเจนว่า รัฐบาลรับทราบปัญหาความเดือดร้อนของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมยาสูบไทย และเตรียมหาทางแก้ไขปัญหา  เพียงแต่ยังไม่มีความชัดเจนในแผนงานหรือแนวทางใดๆ ออกมา

จึงเป็นหน้าที่ของกลุ่ม ส.ส. จากภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งเป็นพื้นที่ปลูกยาสูบ ไม่ว่าจะสังกัดพรรคการเมืองใด ที่ต่างก็ได้รับข้อร้องเรียนมาจากกลุ่มชาวไร่ยาสูบในพื้นที่ของตัวเองผ่านทางการพูดคุยรับฟังปัญหา จดหมายของชาวไร่ รวมทั้งชาวไร่ยาสูบในบางจังหวัด เช่น สุโขทัย  และแพร่ ที่ขึ้นป้ายขนาดใหญ่ วอนให้ ส.ส. ทำหน้าที่ในสภาฯ แทนกลุ่มเกษตรกรชาวไร่ยาสูบ เรียกร้องไปยังรัฐบาลซ้ำแล้วซ้ำอีกทั้งการชี้แจงต้นตอปัญหา ลักษณะความเดือดร้อนที่เกษตรกรต้องเผชิญ และการเสนอทางออก

Advertisement

นายจักรัตน์  พั้วช่วย  ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ  จ.เพชรบูรณ์  กล่าวย้ำผลกระทบที่ชาวไร่ยาสูบถูกลดโควตารับซื้อใบยาสูบลงเกือบ 50% เพราะภาษีบุหรี่ที่เพิ่มขึ้นสูงเกินไป การยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) จึงมียอดจำหน่ายบุหรี่ลดลง และไม่ต้องการเพิ่มสต๊อกใบยาสูบอีก การถูกลดโควตาทำให้รายได้จากอาชีพเกษตรกรรมที่เลี้ยงดูครอบครัวของเกษตรกรกลุ่มนี้ หายไปครึ่งหนึ่ง “ ผมขอให้รัฐออกมาตรการในการจ่ายเงินชดเชยในส่วนต่างที่ถูกลดโควตาลงซึ่งเกิดจากการลดภาษี”  นี่คือเรื่องเร่งด่วนเพราะปัญหาปากท้องเป็นเรื่องเฉพาะหน้าที่จำเป็น  แม้จะมีคำพูดจากนายวิษณุ เครืองาม ชัดๆ ว่ารัฐบาลเตรียมงบประมาณเรื่องเงินชดเชยไว้แล้ว แต่จนถึงวันนี้ เกษตรกรยาสูบยังไม่ได้รับข้อมูลยืนยันใดๆ ในเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ

เช่นเดียวกับ นางศิริวรรณ  ปราศจากศัตรู ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ความเดือดร้อนของชาวไร่ยาสูบจากการถูกลดโควตาเพราะการขึ้นภาษีบุหรี่  ซึ่งแนวทางหนึ่งที่หาก ยสท. ยังจำเป็นต้องลดโควตาการปลูกใบยาของชาวไร่อีกในปี 2563 นี้ ก็ไม่ควรลดโควตาเกินกว่า 20% และขอให้รัฐเร่งจ่ายเงินชดเชยรายได้ครัวเรือนที่สูญไปให้เหมาะสม  ที่สำคัญรัฐบาลควรตั้งคณะทำงานแก้ปัญหาชาวไร่ยาสูบทั่วประเทศอย่างจริงจัง ล่าสุด นางศิริวรรณ ได้ทำหนังสือถึงรมว.คลังด้วยตนเอง เพื่อขอให้พิจารณาเลื่อนการขึ้นภาษียาสูบ 40% ที่จะมาถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าออกไปก่อน

ในส่วนของส.ส.พื้นที่ จ.สุโขทัย  ซึ่งเป็นพื้นที่ปลูกยาสูบแหล่งใหญ่ที่สุดของประเทศ นางพรรณสิริ  กุลนารถศิริ  ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ  ได้พูดถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตว่า ความทุกข์อย่างใหญ่หลวงของชาวไร่จะไม่ได้รับการบรรเทา  หากภาษีสรรพสามิตจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวจากอัตรา 20% เป็น 40% ในเดือนตุลาคมปี 2563 รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขเรื่องนี้

Advertisement

ความชัดเจนเรื่องการ “เลื่อน” หรือ “ไม่เลื่อน” ขึ้นภาษีบุหรี่อัตรา 40% ที่มีกำหนดใช้วันที่ 1 ตุลาคม 2563 นี้ เป็นอีกประเด็นเร่งด่วนที่กลุ่มเกษตรกรชาวไร่ยาสูบมีความกังวลมาก เพราะหากรัฐบาลยังเดินหน้าขึ้นภาษีตามกำหนดเดิม ความเดือดร้อนซ้ำเติมแบบเดิมจะยิ่งเพิ่มขึ้น  ด้านการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) ได้ชี้แจงผลกระทบเรื่องนี้ไว้ในรายงานผลประกอบการประจำปีงบประมาณ 2562 ด้วยว่า การแบกรับภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นในปีงบประมาณ 2561 และ 2562 ส่งผลให้ยสท.มีกำไรสุทธิลดลงไปแล้วมากกว่าร้อยละ 90 และการดำเนินงานอาจถึงขั้นขาดทุนรวมทั้งเกิดภาวะขาดสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจหากยังแบกรับภาระภาษีที่จะปรับเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวในเดือนตุลาคม  2563

การอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรครั้งนั้น  กลุ่ม ส.ส.ฝ่ายค้านก็ร่วมประสานเสียงในประเด็นความเดือดร้อนของชาวไร่ยาสูบ และชี้ให้รัฐบาลบาลเห็นว่า นโยบายภาษีที่ดีต้องไม่ก่อความเดือดร้อนให้ประชาชน  นายศรัณย์วุฒิ  ศรัณย์เกตุ  ส.ส.พรรคเพื่อไทย จ.อุตรดิตถ์  ย้ำเรื่องผลกระทบที่มีต่อชาวไร่ยาสูบจากอัตราภาษีสรรพสามิตยาสูบ 20% และ 40%  และการขอให้รัฐบาลเลื่อนขึ้นภาษี 40% ออกไปเพราะ “อัตราภาษีแบบนี้เป็นตัวทำลายอุตสากรรมยาสูบไทย ยสท.จึงต้องเจ๊งเพราะเรื่องภาษี”

ยังมีประเด็นผลกระทบจากภาษีบุหรี่อัตราสูงที่ทำให้เกิดการทะลักเข้ามาของบุหรี่เถื่อน กระทบต่อยอดขายสินค้าในร้านค้าปลีก นายพีรเดช  คำสมุทร  ส.ส.พรรคอนาคตใหม่  จ.เชียงราย กล่าวว่า  “นี่เป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัด  เมื่อภาษีบุหรี่ถูกกฎหมายสูงมาก ก็จะมีบุหรี่หนีภาษี บุหรี่ปลอมทะลักเข้ามาตามแนวตะเข็บชายแดน  นี่ก็เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ ยสท.มีรายได้น้อยลง เพราะขายได้น้อยลง ผมอยากเสนอให้ชะลอการขึ้นภาษีให้เป็นระดับค่อยเป็นค่อยไป  จากปกติที่อยู่ที่ 20% จะเพิ่มทีเดียวเป็น 40% ผมว่ามันมากเกินไป ควรเพิ่มทีละ 5-10% จาก 20% ไปจบที่ 40% เพื่อให้ชาวไร่ยาสูบได้ปรับตัว”

ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของตัวแทนปากเสียงประชาชนและเกษตรกรชาวไร่ยาสูบที่ทำงานของตนเองอย่างแข็งขัน แต่ดูเหมือนว่าเสียงจาก ส.ส. เหล่านี้จะยังไปไม่ถึงรัฐบาล เพราะกระทรวงการคลังที่มีนายอุตตม สาวนายน เป็นเจ้ากระทรวงและยังมีนายสันติ พร้อมพัฒน์ เป็นรัฐมนตรีช่วยที่กำกับดูแลการยาสูบแห่งประเทศไทย ยังไม่ดำเนินการใดๆ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่เหล่านี้ แต่กลับจะเดินหน้าขึ้นภาษี 40% ต่อไปทั้งๆ ที่ตอนนี้ ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม

ขณะที่กระทรวงการคลังเตรียมจัดซอฟต์โลนกว่า 2 หมื่นล้านบาทอุ้มสายการบินที่ได้รับผลกระทบจากโควิด รวมทั้งเตรียมอุ้มการบินไทยอีกกว่า 1 แสนล้านบาท ส่วนเงินชดเชยให้เกษตรกรชาวไร่นั้นใช้เพียงแค่ 160 ล้านบาทแต่รัฐบาลกลับเพิกเฉยทอดทิ้งชาวไร่เหล่านี้ ผลลัพธ์จึงอยู่ที่ว่าฝ่ายบริหารบ้านเมืองจะรีบเร่งดำเนินการให้เกิดความชัดเจนและเป็นรูปธรรม  ทั้งเงินชดเชยรายได้ที่ต้องระบุจำนวนตัวเลขและกรอบระยะเวลาเบิกจ่าย รวมทั้งการขึ้นภาษีอัตรา 40% ตุลาคมนี้ ต้องชัดเจนให้เร็วที่สุดว่าจะ “เลื่อน” หรือไม่ เพราะหากไม่มีการดำเนินการใดๆ เชื่อว่าการเลือกตั้งที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อคงได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ของพรรครัฐบาลอย่างแน่นอน

 

######

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image