⦁…ผ่อนคลายระยะ 2 จาก “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” ที่รัฐบาลใช้ควบคุมผู้คนเพื่อป้องกันการระบาดของ “โควิด-19” จะส่งผลต่ออย่างไร นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน แถลงว่าขึ้นอยู่กับ “ตัวเลขผู้ติดเชื้อ” จะเพิ่มขึ้นหรือลดลง หากมีแนวโน้ม “ระบาดรอบ 2” มาตรการเข้มงวดก็ต้องกลับมาใหม่ แต่หาก “ติดเชื้อน้อยลง” การผ่อนคลายจะเพิ่มขึ้น เรื่องนี้หากประเมินจากแนวคิด “ความใกล้ชิดทำให้เชื้อระบาด” การผ่อนคลายที่ผ่านมาชัดเจนว่า “ผู้คนจำนวนมากแหกกฎรักษาระยะห่างที่ฝืนกับชีวิตปกติ”
⦁…ภาพของการใช้ชีวิตปกติ “คุมระยะห่างไม่ได้” มีให้เห็นทั่วไป ในแทบทุกที่ที่ประชาชนต้องไปรวมตัวกัน ไม่ว่า “ห้างสรรพสินค้า-รถไฟฟ้า-ตลาดสด-ร้านอาหาร” หากเอามาตรฐาน “ศบค.” มาเป็นเครื่องประเมินย่อมหมายถึงแนวโน้มว่า “นับแต่นี้การติดเชื้อจะต้องเพิ่มขึ้นมโหฬาร” กระทั่งหนีไม่พ้นต้องประกาศการระบาดรอบ 2 และกลับมาคุมเข้มอีกครั้ง ความน่าสนใจอยู่ที่ “หากไม่เป็นเช่นนั้น” คือ “จำนวนผู้ติดเชื้อไม่พุ่งกระฉูด” ย่อมหมายความว่า “ระยะห่างระหว่างคน” ไม่ใช่เรื่องซีเรียสอย่างที่กังวลกัน ความรู้สึกนี้จะส่งผลต่อแรงกดดันให้เกิด “กิจกรรมฟื้นฟูให้อิสระกับชีวิตมากขึ้น” จะตามมา
⦁…ก่อนหน้านั้นมีความพยายามชี้ให้เห็น “ชีวิตไม่ได้มีด้านเดียว” เรื่อง “สุขภาพสำคัญ” ก็จริง แต่เรื่องอื่นใช่ว่าจะไม่ทำให้ “ชีวิตเป็นทุกข์ใหญ่หลวง” ทั้ง “การทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง-การศึกษาเล่าเรียน-การพบปะเสวนาอันเป็นชีวิตของสัตว์สังคมอย่างมนุษย์” แต่ “โรคอุบัติใหม่” ทำให้ต้อง “ฟังและเชื่อ” เมื่อตามด้วยการบังคับด้วยกฎหมาย ผู้คนต้องวางทุกอย่างหันมาเน้น “สุขภาพ” ทว่าแต่ละชีวิตทนทานต่อแต่ละปัญหาต่างกัน “ชีวิตที่ถูกบังคับให้หยุดทุกอย่าง” จึงกลายเป็น “ภาวะเก็บกด” ด้วยแรงของปัญหาสารพัด เชื่อกันว่า หากมี “การระบาดรอบ 2” จะคุมไม่ได้เหมือนรอบแรก
⦁…อำนาจเป็นสิ่งหอมหวาน ทั้งที่รับรู้กันอยู่เต็มอกว่า “พรรคพลังประชารัฐ” สร้างขึ้นมาด้วย “บารมีอะไร” และ “ใครคือคนที่เป็นพลังขับเคลื่อนให้พรรคเกิด อยู่ได้ และเติบใหญ่” หรือ “ใครเป็นแค่หุ่นที่ถูกเชิดขึ้นมาเท่านั้น” แต่เมื่อวันที่มีเหตุให้ต้อง “เปลี่ยนหุ่นเชิด” ด้วยความเหมาะสมที่ “เจ้าของพรรค” เห็นว่าจำเป็น “ความหอมหวานของอำนาจวาสนาที่ติดตราตรึงใจ” ทำให้ “หุ่นเชิด” ออกอาการ แถมเกิด “ตัวตนใหญ่โต” จนคล้ายว่าจะมีปัญหา แต่เชื่อเถอะที่สุดแล้ว “ทุกอย่างจบลงตามความเป็นจริงไม่ใช่ความเพ้อพกของใคร”
⦁…หาก สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ นำทีม อุตตม สาวนายน-สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ออกมาตั้ง “พรรคสร้างไทย” อย่างที่เป็นข่าวลือ การเมืองคงสนุกชนิดพิลึกกึกกือ แต่ที่น่าจะเกิดขึ้นน่าจะแบบว่า “ข่าวสร้างราคาว่ามีที่ไป”ถึงที่สุดแล้ว “สื่อมวลชน” ก็เป็นแพะ ถูกชี้หน้าว่า “เขียนข่าวเอง” เกมตื่นๆ แบบนี้เกิดขึ้นมาตลอดในแวดวงการเมืองไทย แปลกตรงที่ “ยังมีหยิบมาใช้” ทั้งๆ เป็นที่รู้กัน เป็นเกมที่ทำให้ “เสียราคาหนักขึ้น” เสียมากกว่า
⦁…ยิ่งนับวันยิ่งพิสูจน์ “เซียนการเมืองของจริง” คือใคร เมื่อ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ หยิบวลี “ประเทศชาติวิกฤต ไม่คิดเรื่องการเมือง” ขึ้นมาใช้ ท่ามกลางแรงกดดันให้เปลี่ยนแปลงภายในพรรค และเก้าอี้รัฐมนตรีใกล้ถึง “จุดสรุป” ลองนึกดูว่า “คนที่ อ่านออก บอกได้ว่าใครแค่ไหนในความเข้าใจเกมการเมือง” เมื่อมองถึงอนาคตแล้ว จะเลือกใช้กลุ่มไหนมาทำงานการเมือง
⦁…วันเปิดสภาใกล้เข้ามาทุกที แม้ “ภาวะฉุกเฉินของโควิด” จะยังเป็นตัวช่วยประสิทธิภาพสูง แต่ถึงที่สุดแล้ว เมื่อ “เวทีเปิด” คนที่ขึ้นไปอย่างไรเสียก็ต้อง “ออกอาวุธ” ถ้าย้อนไปก่อน “โควิด” หลัง “การอภิปรายไม่ไว้วางใจ” ย่อมนึกออกได้ว่า “ฝ่ายค้านเปิดแผลรัฐมนตรีหลายคนไว้เหวอะหวะ” เงียบจางไปในช่วงปิดสภา และ “นักศึกษาชุมนุมได้” ขึ้นเวทีอีกครั้งคราวนี้ แค่ “โฉบเข้าหาแผลเก่า ก็น่าจะเสียวสันหลังกันไม่เลิก”
และหากจับทางกระแสประชาชน จากความสนใจในความเคลื่อนไหวของฝ่ายค้านช่วงที่ผ่านมา น่าจะบอกได้ว่า “เปิดกระดานใหม่ในแดนลบ”
ชโลทร