นศ.แฟสชม็อบ จวกเละ 6ปีรปห. มุ่งกำจัดเสรีภาพ ทำนิวโหวตเตอร์ ไร้ความหมาย

ตัวแทน คนป.จวกเละ 6 ปีรัฐประหาร ปิดปากประชาชน ปกปิดมรดกความทรงจำเลวร้าย

เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย ร่วมกับ เครือข่ายนักเรียน นิสิต นักศึกษาเคียงข้างประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (คนป.) และ สหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.) จัดเสวนาออนไลน์ผ่านเพจเฟซบุ๊กกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย Democracy Restoration Group – DRG เนื่องในโอกาสครบรอบ 6 ปีรัฐประหาร (22 พฤษภาคม 2557) หัวข้อ “เมื่อเกิดรัฐประหาร การต่อต้านจึงเป็นหน้าที่” ร่วมเสวนาโดยนายธนพล พันธุ์งาม สมาชิกกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย, นายฟาห์เรนน์ นิยมเดชา กรรมการกลาง สนท., นางสาวกันตา รัตนวงษ์ สมาชิก คนป. และนายปิยรัฐ จงเทพ นักกิจกรรมและนักเคลื่อนไหวทางการเมือง

น.ส.กันตา กล่าวว่า ย้อนกลับไปเมื่อ 6 ปีที่แล้วตนยังเด็กมาก อายุ 15 ปี รู้ตัวอีกครั้งคือเปิดโทรทัศน์เห็นคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ประกาศยึดอำนาจแล้ว โดยทัศนคติของคนส่วนมากในช่วงนั้นมองว่าการเข้ามาของ คสช.ทำให้ประเทศสงบมากขึ้น เนื่องจากก่อนหน้านั้นมีม็อบวุ่นวาย อีกทั้งการเมืองยังถูกกีดกันให้เป็นเรื่องไกลตัวสำหรับเด็ก 15 ขณะเดียวกันช่วงเวลานั้นมีมุขที่ล้อกันว่าหากแซวรัฐบาล ระวังโดนปรับทัศนคติ ยังเข้าใจว่าเป็นมุขที่เล่นขำๆ จนวันหนึ่งรู้จักรุ่นพี่เรียนรัฐศาสตร์รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ขำ จึงกลับมาทบทวนใหม่ว่าประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย การแสดงความเห็นแล้วโดนจับ โดนปิดปากไม่ให้พูดนั้นจะเป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร นี่จึงเป็นจุดเล็กๆ ที่ทำให้มาสนใจการเมือง ลดการเล่นมุข พร้อมๆ กับติดตามข่าวสารกองทัพมากขึ้น

น.ส.กันตากล่าวว่า การจัดแฟลชม็อบของนักศึกษาช่วงที่ผ่านมามีชนวนเหตุมาจากการเลือกตั้ง 2562 ไม่โปร่งใส พรรคที่ชนะการเลือกตั้งไม่ได้เป็นรัฐบาล อีกทั้งพรรคที่คนรุ่นใหม่ รวมทั้งนิวโหวตเตอร์ลงคะแนนเสียงให้ถูกยุบ ซึ่งพรรคดังกล่าวได้รับคะแนนเสียงจำนวนมาก รัฐบาลไม่เคารพความเห็นของประชาชน นี่เป็นความโกรธที่เปิดโอกาสให้เลือกตั้งแล้ว แต่กลับทำให้เสียงของเราหายไป จึงเป็นชนวนเหตุให้หลายมหาวิทยาลัยในเกือบทุกภูมิภาคจัดแฟลชม็อบวันเดียวกัน

“ตั้งแต่ คสช.เข้ามา ปัญหาที่ชัดเจนที่สุดคือเรื่องปากท้อง ส่วนในอนาคตยังมองว่าเราไม่มีอิสระมากพอในการส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งนี้ การรัฐประหารเป็นการฉีกรัฐธรรมนูญฉบับเดิม ขัดต่อหลักประชาธิปไตยดังที่ทราบว่าอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน แต่นี่เป็นสิ่งที่คนที่เราไม่ได้เลือกเข้ามาปกครองประเทศ เท่ากับว่าไม่ได้มาจากความเห็นของเราโดยแท้จริง ขณะเดียวกันตั้งแต่ปี 2475 เป็นต้นมา ประเทศไทยมีการรัฐประหารมาแล้ว 13 ครั้ง ฉีกรัฐธรรมนูญซ้ำแล้วซ้ำเล่า

Advertisement

“ความเลวร้ายที่ชัดเจนที่สุดช่วง คสช.ยึดอำนาจคือเรื่องสิทธิเสรีภาพ กีดกันการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ขณะเดียวกันเมื่อตนเองขึ้นมาทำงานร่วมกับเครือข่ายฯยังพบว่าเรามีปัญหาทางโครงสร้างต่างๆ ที่รัฐบาลซึ่งมาจากเผด็จการพยายามปิดปาก ปกปิดมรดกความทรงจำอันเลวร้ายที่ทำ เช่น ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยการรัฐประหารได้ยึดเสียง ไม่เคารพสิทธิ ไม่เห็นหัวประชาชน ซึ่งหน้าที่ของรัฐบาลคือการรับใช้ประชาชน ไม่ใช่ควบคุมประชาชน และกลายเป็นว่าการรัฐประหารทำให้การเมืองเป็นของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไม่ใช่ของประชาชนอย่างแท้จริง” น.ส.กันตากล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image