นัยยะการเมือง ศึกเลือกตั้งส.ส.ลำปาง
เลือกตั้งซ่อม – ศึกเลือกตั้งที่น่าจับตามอง ในช่วงที่ยังมีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อช่วงชิงเก้าอี้ ส.ส.ลำปาง เขต 4 แทนตำแหน่งที่ว่างลง ได้เริ่มขึ้นแล้ว
หลังปิดรับสมัครมีม้าศึกของ 5 พรรค การเมือง ลงชิงชัยในครั้งนี้
หมายเลข 1 นายวัฒนา สิทธิวัง ผู้สมัคร จากพรรคพลังประชารัฐ, หมายเลข 2 ร.ต.ท.สมบูรณ์ กล้าผจญ ผู้สมัครจากพรรคเสรีรวมไทย, หมายเลข 3 นายอำพล คำศรีวรรณ ผู้สมัครจากพรรคพลังท้องถิ่นไท หมายเลข 4 นายองอาจ สินอนันต์เศรษฐ์ ผู้สมัครจากพรรคไทรักธรรม และ หมายเลข 5 นางสาวปทิตตา ชัยมูลชื่น พรรคเศรษฐกิจใหม่
การเลือกตั้งครั้งนี้ ไร้ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ทั้งที่เขตนี้เก้าอี้ที่นั่งเป็นของพรรคเพื่อไทยมานานกว่า 15 ปี ที่ นายอิทธิรัตน์ จันทร์สุรินทร์ ส.ส.ลำปาง เขต 4 พรรคเพื่อไทย ครองฐานเสียงอยู่นาน แต่เสียชีวิตกะทันหัน (ย้อนอ่าน : ‘อิทธิรัตน์ จันทรสุรินทร์’ ส.ส.ลำปาง พรรคเพื่อไทย ติดเชื้อในกระแสเลือดเสียชีวิต )
ผู้เป็นพ่อคือ นายพินิจ จันทร์สุรินทร์ อดีต ส.ส.หลายสมัย ขอถอนตัวกลางคันในเช้าวันที่ 26 พ.ค.63 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการเปิดรับสมัครลงเลือกตั้งซ่อม
โดยบอกว่า ยังเสียใจที่ลูกชายจากไป และเตรียมที่จะไปสู้ศึกเลือกตั้ง อบจ.ลำปาง แทน ทำให้ทางพรรคเพื่อไทยส่งคนลงแข่งรักษาพื้นที่ไว้ไม่ทัน
ถือว่าเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี ที่คนในตระกูลจันทร์สุรินทร์ ซึ่งเป็นผู้มากบารมีในโซนอำเภอตอนใต้ของ จ.ลำปาง ไม่ลงชิงชัยรักษาแชมป์ในพื้นที่เขตนี้ ปล่อยให้พรรคการเมืองอื่น
ย้อนอ่าน : ด่วน! เพื่อไทยถอนตัว ไม่สู้ศึกเลือกตั้ง ส.ส.ลำปาง ฝ่ายค้านเหลือ เสรีรวมไทย ลงสนาม
– ‘หัวหน้าพรรคเพื่อไทย’ แจงเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่ส่งคนลงเลือกตั้งซ่อมลำปาง
โดยเฉพาะ พรรคพลังประชารัฐ ที่หมายปองจะยึดเก้าอี้ที่นั่งนี้ให้ได้ โดยการแข่งขันรับเลือกตั้ง ส.ส. เมื่อปี 2562 ที่ผ่านมา นายวัฒนา สิทธิวัง อายุ 63 ปี ชาว อ.เกาะคา จ.ลำปาง อดีตรองประธานสภา อบจ.ลำปาง และสมาชิกสภา อบจ.ลำปาง เขต อ.เกาะคา ลงสนามสู้ศึกในนามพรรคพลังประชารัฐ แต่ก็พ่ายไป ได้คะแนนเป็นอันดับ 2 จำนวน 30,368 คะแนน แพ้ นายอิทธิรัตน์ พรรคเพื่อไทย ที่ได้คะแนนอันดับ 1 จำนวน 42,984 คะแนน
มาในครั้งนี้ โอกาสที่นายวัฒนาจะเข้าสู่เส้นชัย ได้เก้าอี้ตัวนี้ไปครองคงจะไม่ยากเย็นนัก เพราะฐานคะแนนเดิมมีมากโข
แต่ต้องจับตา ร.ต.ท.สมบูรณ์ กล้าผจญ อายุ 62 ปี ผู้สมัครจากพรรคเสรีรวมไทย ที่ถือว่าประกาศตัวเองอยู่ฝั่งประชาธิปไตย ลงสู้ศึกครั้งนี้ เพื่อให้คนที่เคยเทคะแนนให้พรรคเพื่อไทย ได้กากบาทพรรคเสรีรวมไทย ที่ถือว่าเป็นพรรคหนึ่งเดียวทางฝั่งฝ่ายค้าน ที่เรียกว่าเป็นฝั่งประชาธิปไตย เข้าไปนั่งเติมเต็มเก้าอี้ในสภาที่เสียงขาดหายไปในเขตเลือกตั้งนี้
ร.ต.ท.สมบูรณ์ เดิมเป็นชาว อ.ลี้ จ.ลำพูน แต่ได้ภรรยาชาว อ.สบปราบ จ.ลำปาง ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตเลือกตั้งครั้งนี้ ประกาศว่าจะสู้ และมั่นใจว่าจะได้เป็น ส.ส.ในเขตนี้แน่นอน ทั้งที่การเลือกตั้งครั้งก่อน ได้คะแนนเพียง 2,466 คะแนน รั้งอันดับที่ 6 ก็ยังไม่ถอดใจ เตรียมลุยทุกพื้นที่ เพราะครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีมากสุดในชีวิต และแอบลุ้นว่าจะเข้าวิน เพราะพรรคเพื่อไทยไม่สามารถส่งคนลงสมัครได้ทัน ประกอบกับพรรคอนาคตใหม่ที่เคยรั้งคะแนนอันดับ 3 ครั้งก่อนก็ถูกยุบไป และผู้สมัครคนเดิมก็สังกัดพรรคก้าวไกลไม่ครบ 90 วัน จึงไม่มีคุณสมบัติในการลงสมัครรับเลือกตั้ง
ทำให้ความหวังของคนไม่เอาขั้วฝั่งรัฐบาล หรือไม่ปลื้มพรรคพลังประชารัฐ จะเทคะแนนมาให้ผู้สมัครพรรคเสรีรวมไทย ทำให้พรรคพลังประชารัฐประมาทคู่แข่ง ไม่ได้เช่นกัน
ขณะที่พรรคเล็กในศึกเลือกตั้งครั้งนี้ ถูกมองว่าเข้ามาช่วยตัดคะแนนคู่แข่ง ซึ่งล้วนเป็นพรรคร่วมรัฐบาลกันทั้งนั้น ทั้ง “อำพล” เดิมทีลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ลำปาง ในเขต 1 ได้คะแนนในครั้งนั้น 302 คะแนน ได้โยกเขตมาลงสมัครรับเลือกตั้งในเขต 4 แทนผู้สมัครคนเดิม รวมถึง “องอาจ” ก็โยกจากเขต 1 ที่เคยลงสมัครรับเลือกตั้งไว้จากในครั้งก่อน ที่ได้รับคะแนน 214 คะแนน ก็มาลงสนามชิงชัยในเขตเลือกตั้งที่ 4 ด้วยเช่นกัน
ส่วนคนสุดท้ายเป็นหญิงหนึ่งเดียว “ปทิตตา” นักธุรกิจใน จ.ลำปาง ลงสมัครในนามพรรคเศรษฐกิจใหม่ ถึงแม้จะเป็นผู้สมัครหน้าใหม่ของวงการเมือง
แต่ทำงานการเมือง และช่วยเหลืองานพรรคมาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับความสดใหม่ และเป็นผู้สมัครหญิงเพียงคนเดียว อาจจะเกิดความสะดุดตา ทำให้ประชาชนสนใจ และได้รับเลือกก็เป็นได้
ดังนั้น สนามแข่งขันจาก 5 ขุนศึกที่จะชิงพื้นที่ครั้งนี้ ถึงแม้จะไร้เงาผู้สมัครพรรคเพื่อไทย หรือคนของตระกูลจันทร์สุรินทร์ แต่ก็ต้องจับตามองว่า ผู้สมัครจากพรรคใด ฝั่งใด ขั้วรัฐบาล หรือฝ่ายค้าน จะคว้าที่นั่งไข่แดงเดิมของพรรคเพื่อไทยนี้ไปครองได้สำเร็จ
ขณะที่ ผศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางบางเตียว รัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ ม.บูรพา ให้ความเห็นว่า พื้นที่การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้มีความสำคัญกับทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน แน่นอนว่าพื้นที่นี้จะช่วยพิสูจน์พลังศรัทธาทางการเมืองของประชาชน รัฐบาลก็อยากชนะเพื่อใช้เป็นข้ออ้างกับประชาชนว่าสิ่งที่รัฐบาลเดินมา ทั้งการบริหารประเทศ ทั้งนโยบาย ทำให้ประชาชนเข้าถึงและเห็นความสำคัญของรัฐบาลมากขึ้น
โดยเฉพาะการแก้ปัญหาโควิด-19 หรือมาตรการเยียวยา 5,000 บาท
สำหรับฝ่ายค้านเองก็มีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน เนื่องจากสถานการณ์การเลือกตั้ง ณ ตอนนี้อยู่ภายใต้บรรยากาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และมีโรคระบาดร้ายแรงอย่างโควิด-19 ซึ่งนี่เป็นจุดอ่อนของทางฝ่ายค้าน ส่วนจุดแข็งคือพื้นที่นี้เป็นฐานที่มั่นเดิมของพรรคเพื่อไทย
ภายใต้จุดแข็งและจุดอ่อนเช่นนี้ทำให้สถานการณ์ทางการเมือง ณ ขณะนี้ โดยหลักแล้วฝ่ายค้านต้องลงสมัครรับเลือกตั้ง เพื่อทำให้ประชาชนเห็นว่าหากเลือกพรรคฝ่ายค้านเหมือนเดิมก็เป็นการยืนยันว่านี่คือฐานที่มั่นของเขา รวมทั้งเพื่อจะยึดโยงไปถึงรัฐบาลได้ว่ารัฐบาลทำงานล้มเหลว
โดยประชาชนเริ่มเสื่อมศรัทธาจากรัฐบาลแล้ว แต่ปรากฏว่าฝ่ายค้านเลือกจะไม่สู้ กลายเป็นการเมืองที่ส่วนตัวมองว่ามีวาระซ่อนเร้นอยู่พอสมควร แม้ฝ่ายค้านจะบอกว่าผู้สมัครสนใจลงสมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมากกว่า
แต่คิดว่า ในฐานที่มั่นของพรรคเช่นนี้ หากผู้สมัครลำดับที่ 1 ไม่ยินดีลงสมัคร พรรคก็ต้องหาคนอื่นมาลง
ขณะเดียวกัน เมื่อย้อนดูสถิติการเลือกตั้งเดิม พบว่า 3 พรรคที่สู้กันมาคือ พรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชารัฐ และพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งปัจจุบันถูกยุบไปแล้ว และมีพรรคใหม่คือพรรคก้าวไกล แต่ก็พบว่าพรรคก้าวไกล ไม่ลงสมัครชิงตำแหน่งเช่นกัน
พรรครัฐบาลควรลงสมัครแน่นอน เพราะต้องการทำให้เห็นว่าหากตัวเองชนะการเลือกตั้ง สามารถเคลมได้ว่าผลงานเป็นที่ประจักษ์ เมื่อการเลือกตั้งที่ผ่านมาได้รับเลือกเป็นที่ 2 ครั้งนี้จะเป็นที่ 1 ขณะที่พรรคฝ่านค้านก็ต้องลงสมัคร เพื่อจะใช้พื้นที่นี้พิสูจน์ว่ารัฐบาลทำงานล้มเหลว และพรรคก้าวไกลก็ควรลงสมัคร เพื่อพิสูจน์ว่าหลังจากพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบไปแล้ว พลังศรัทธาของประชาชนต่อพรรคก้าวไกลมีอยู่ในระดับไหน
“ผมว่ามันมีนัย เพราะโดยหลักแล้วต้องลง ไม่ว่าแพ้หรือชนะก็ต้องลง เพื่อที่จะใช้โอกาสนี้พิสูจน์อะไรบางอย่างทางการเมือง แต่ปรากฏว่านี่จะเป็นการเมืองภายใต้การต่อรองอะไรหรือไม่”
อย่างไรก็ตาม คนที่ติดตามการเมืองคงรู้ว่าในพื้นที่การเมืองภาคเหนือถูกกลุ่มเพื่อไทย หรือนักการเมืองหน้าเดิม อาจมีข้อแลกเปลี่ยนกับนักการเมืองที่อยู่ในซีกรัฐบาลแล้วมีอิทธิพลในพื้นที่ภาคเหนือ จนประเมินและตัดสินใจไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งก็เป็นได้