แก้วสรร แฉ จ่อต่อสัญญาสร้างรัฐสภาใหม่อีกรอบ 400วัน ปูดค่าโง่พันล้านรออยู่

“แก้วสรร” แฉ สภาฯ จ่อต่อสัญญาสร้างใหม่อีกรอบ 400 วัน หลังครบกำหนดธ.ค.ปีนี้ ชี้ ตอนนี้มีค่าโง่รออยู่แล้ว 1,200 ล้านบาท จี้ถามใครรับผิดชอบ แฉเล็งเปลี่ยนวัสดุก่อสร้างจากไม้สักเป็นอลูมิเนียม ถูกกว่ากัน 150 ล้าน ดักคอส่วนต่างต้องลดมูลค่าโครงการ ไม่ใช่ตกเป็นประโยชน์ผู้รับเหมา

เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตที่ปรึกษาสถาบันอาศรมศิลป์ซึ่งเป็นผู้ชนะในการออกแบบรัฐสภาใหม่ “สัปปายะสภาสถาน” กล่าวถึงปัญหาการก่อสร้างรัฐสภาใหม่ ว่า การขยายสัญญาสร้างรัฐสภาใหม่กับบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) เมื่อปลายปี 2558 ที่ผ่านมา จำนวน 387 วัน เป็นการขอขยายสัญญาครั้งแรก ซึ่งจะครบกำหนดเดือนธันวาคมปีนี้ จากนั้นรัฐสภาจะต้องต่อสัญญาอีกครั้งหนึ่ง จำนวน 400 วัน ซึ่งบริษัทซิโน-ไทยฯ เรียกค่าเสียหายวันละ 12 ล้านบาท แต่ตนเห็นว่า ความเป็นจริงค่าเสียหายไม่ควรเกินวันละ 3 ล้านบาท ดังนั้นเท่ากับว่าขณะนี้เรามีค่าโง่ที่ต้องเสียรออยู่แล้ว 1,200 ล้านบาท ทั้งนี้ ตนเคยตรวจสอบโครงการสร้างแอร์พอร์ตลิงค์ ซึ่งการรถไฟแห่งประเทศสมคบกับผู้รับเหมา จากแผนที่ต้องย้ายชุมชนออกจากพื้นที่ใช้เวลา 240 วัน แต่การรถไฟฯกลับเขียนในสัญญาว่าจะส่งมอบพื้นที่ให้ผู้รับเหมา ภายใน 90 วัน เพราะฉะนั้นเขาจึงมีความตั้งใจให้เสียค่าโง่ ปัญหา คือ ค่าโง่ของรัฐสภาใหม่ที่จะเกิดขึ้นแน่ๆ จำนวน 1,200 ล้านบาท ถามว่า รัฐสภาได้เตรียมจ่ายค่าโง่ตามที่ซิโน-ไทยเรียกร้องไว้หรือยัง และรัฐสภาได้มีการโต้แย้งค่าเสียหายที่ซิโน-ไทยเรียกร้องหรือไม่ รวมทั้งตกลงจะจ่ายค่าโง่หรือไม่ เท่าไหร่ แล้วใครจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการจ่ายค่าโง่ครั้งนี้

นายแก้วสรร กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ภายหลังที่มีคำสั่งนายกรัฐมนตรีห้ามไม่ให้ตัดต้นสัก จำนวน 5,000 ต้นเพื่อสร้างรัฐสภาใหม่นั้น ขอตั้งข้อสังเกตว่าองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยืนยันหรือยังว่าถ้าไม่นำไม้ในป่าที่ชาวบ้านโวยวาย ไม้สักจะไม่พอ ต่อให้ไม่นำไม้จากพื้นที่ที่ชาวบ้านประท้วง ไม้ไม่พอจริงหรือไม่ ถ้ารัฐสภาไม่มีเหตุผลอะไรเลย นอกจากกลัวนายกต่อว่าและชาวบ้านไม่ยอม ถ้าได้รัฐสภาที่ใช้อลูมิเนียม สร้างออกมากลายเป็นโชว์รูมรถยนต์ อย่าโทษคนออกแบบ เพราะ การมีค่าโง่รออยู่ 1,200 ล้านบาท ทำให้ผู้รับเหมาและเจ้าของงานพยายามจะลดแบบงาน อันแรก คือ ไม้สัก ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าราคากลางของไม้สักอยู่ที่ 200 ล้านบาท โดยบริษัทซิโน-ไทยเสนอใช้อลูมิเนียม ซึ่งใช้งบประมาณเพียง 50 ล้านบาท ฉะนั้น ต้นทุนจะลดลง 150 ล้านบาท ซึ่งเห็นว่าจำนวนดังกล่าวนี้จะต้องใช้ลดในมูลค่าโครงการของการก่อสร้างรัฐสภาใหม่ จำนวน 12,000 ล้านบาท ไม่ใช่ให้ผู้รับเหมาไปซื้อวัสดุก่อสร้างที่ถูกลง เพราะจะเท่ากับว่าผู้รับเหมาไปเปลี่ยนสเปกวัสดุก่อสร้าง

“ผมขอย้ำว่าถ้ามีการเปลี่ยนจากไม้สักเป็นอลูมิเนียม ส่วนต่าง 150 ล้านบาท ต้องนำไปลดในมูลค่าโครงการก่อสร้าง จะปล่อยให้เป็นประโยชน์แก่ผู้รับเหมาไม่ได้ ต้องตกเป็นของรัฐเท่านั้น เมื่อมีส่วนต่าง 150 ล้านบาท แต่ค่าโง่ ยังคงต้องเป็นจำนวน 1,200 บ้านบาท ห้ามนำ 150 ล้านบาทไปหักกลบ เพราะค่าโง่จะต้องเป็นตัวเลขที่คนทำผิดต้องรับผิดชอบต่อรัฐ” นายแก้วสรร กล่าว

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image